บางกอกแต่หนหลัง- ตอน ๓ เล่าเรื่องรถและเรื่องเหล้าเมื่อวันวาน : รถยุโรปและอเมริกาครองเมือง ก่อนสู่ยุคสมัยสงครามเวียตนาม (ระเบิดน่ารักน่าเอ็นดู)


อาลิ้ม ณ โรงภาษี-บรรเลง

กว่าจะมาต่อเรื่องเหล้าและเรื่องรถแต่หนหลังก็ฟาดเข้าไปซะหลายเดือน ด้วยบรรดาพวกๆ สมัยรุ่นเดอะลากถูไปตระเวณท่องโลกซะยาวไกล วกเข้าเรื่องเลยแล้วกัน…อันว่าหัวที่จั่วไว้ยังขาดๆ เกินๆ อยู่ อันที่จริงควรจะเป็น “เล่าเรื่องรถรวมเรื่องเหล้าและนารี” ดูจะเข้าท่ากว่าเยอะนะ

อันเรื่องนารีนั่นปะไร ให้นึกถึงซอยหมอเหล็งที่ไม่เคยเล็ง แต่บังเอิ้นบังเอิญ ชะตาลิขิตให้พานพบสบสาวเจ้าแล้วก็จากไป ทิ้งไว้ไม่ให้ลืมเลือน.

ต่อจากตอนที่แล้วที่ติดค้างเนื่องจากติดลม เข้าเรื่องบางกอกแต่หนหลัง ช่วงที่ว่าด้วยอดีตของท้องถิ่นแถวท่าเรือคลองเตยในยุคเริ่มแรกที่สร้างเสร็จใหม่ๆ กลายเป็นแหล่งรวมของหน่วยงานราชการที่ขยับขยายเข้ามาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อรองรับการหารายได้เข้าประเทศแหล่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ยุคก่อนเกิดสงครามเวียตนาม

เริ่มกันตั้งแต่ การท่าเรือแห่งประเทศไทยสร้างเสร็จ กรมศุลกากรก็ตามมา รถไฟก็ต้องมา โรงไฟฟ้าก็ต้องตามมารองรับความเจริญ การประปาก็มากับเขาด้วย องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์หรือ รสพ. ก็มาตั้งฐานบัญชาการอยู่ตรงแยกทางรถไฟซึ่งปิดกิจการไปแล้วเนื่องจากขาดทุนย่อยยับขายสินทรัพย์ไม่พอใช้หนี้สินปรับองค์กรไม่ทันยุคที่มีเอกชนเข้ามาแข่งขันให้บริการที่ดีกว่าซึ่ง รสพ. มีสาขาอยู่ทั่วประเทศก็ตาม อำเภอหรือที่เรียกกันว่าเขตก็ตามมาทีหลัง

บริษัทค้าขายกับต่างประเทศก็ต้องมา คลังน้ำมันก็มา อู่รถเมล์ก็ต้องมีต้นสายปลายสายที่นี่ สถานีตำรวจก็มีสองแห่ง คลังสินค้าก็เพิ่มมากขึ้น สถานที่พักสินค้ากลางแจ้งหรือที่พักตู้คอนเทนเนอร์ก็ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ และแล้วในที่สุดก็ต้องมีกรรมกรคนงานรองรับการขนส่งสินค้าทั้งมวล จนเกิด “สลัม” ขึ้นเป็นแห่งแรกของเมืองสยาม กลายเป็นแหล่งอาชญากรรมและยาเสพติดขนาดใหญ่สุดอีกเช่นกัน

ด้วยบรรดาผู้คนจากทั่วทุกสารทิศของไทยเข้ามารวมตัวอยู่ในแหล่งเดียวกันจำนวนมาก ประกอบกับการทำมาหากินคล่อง รายได้ดี แหล่งบันเทิงหลากหลายรูปแบบจึงตามมามีให้เลือกหลายระดับ ท้ายที่สุดแหล่งการพนันก็ไม่พ้น หลายระดับอีกเช่นกัน ระดับล่างสุดก็ปากทางเข้าวัดคลองเตยใน จากถนนสุนทรโกษาเข้าไปในซอยเล็กๆ ยามค่ำคืนจะพบกับย่านบันเทิงและวงการพนันตามบริเวณทางรถไฟที่มารวมกันหลายรางเป็นบริเวณกว้าง เปิดให้บริการโจ๋งครึ่มเลยทีเดียว เหตุร้ายต่างๆ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เอือมระอา ปล่อยเป็นไปตามแล้วแต่อิสระเสรีภาพเกินร้อย

ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐก็ใหญ่ๆ โตๆ คับบ้านคับเมืองกันถ้วนหน้า พอตั้งวงรวมก๊วนร่ำสุราได้ที่ สายตาขวางโลก เขม่นโต๊ะข้างๆ หิวโลหิตสดๆ โต๊ะข้างๆ ขึ้นมาทันควัน ไม่ว่าจะเป็น ข้าการท่าเรือใหญ่สุด, ข้าศุลกากรใหญ่กว่า, ข้าตำรวจน้ำใหญ่กว่าสุด, ข้า รสพ. ถึงจะไม่ใหญ่…แต่ยาว, ข้าชิปปิ้งใหญ่สุดๆ เพราะเลี้ยงพวกเอ็ง, ข้ารถเมล์เจ๊งและใหญ่อย่างที่สุดและข้ากรรมกรใหญ่กว่าทุกกรมกอง

นึกภาพกันเอาเองแล้วกันครับท่าน ชุลมุนชุลเกกันอยู่แถบนั้น เรื่องราวเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ยกพวกตีกันมั่วไปหมด หัวร้างข้างแตกอย่างถ้วนทั่วด้วยยุคสมัยนั้นออกแนว “นักเลงโบราณ” ล่อหมัดกันลุนๆ มีคนแจ้งเหตุไปยังสน. ท่าเรือ พวกนี้ก็ไม่หวั่น เด็กเล็กติดยากันงอมแงม มีลูกมีเต้ากันแต่เล็กแต่น้อย ยังเล่นโดดเชือกหรือหมากเก็บกันอยู่ทั้งนั้น โรงพยาบาลขนาดย่อมตรงหัวมุมตรงข้ามกับกรมศุลกากรสมัยก่อนเงียบสงบ ร่มรื่น ต้องปรับเป็นโรงพยาบาลใหญ่เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อทางเพศในเมืองกรุงไปโดยปริยาย

กำลังได้ที่ทีเดียว หลงลืมเล่าเรื่องรถเรื่องราจนได้ ว่าจะเล่าเรื่องรถ รสพ. ซักกะหน่อย เป็นรถนำเข้าจากเช็คโกสโลวาเกีย สมัยยังไม่แบ่งแยกประเทศ รถบรรทุกแบบรถ 10 ล้อบรรทุกเรือมาลงท่าเรือคลองเตย แต่ไม่มีเจ้าของมารับรถ ท้ายที่สุดส่งมอบให้กับ รสพ. รับไปบริการขนส่งสินค้า ส่วนเรื่องร้านอาหาร, ภัตตาคารต่าง ๆ ไม่ไกลเกินจากที่พำนักอาศัยเกริ่นพอให้เป็นกระสัยแล้วกัน

ตรงหัวมุมถนนสาธรฟากทางเข้าจากถนนพระราม ๔ มีภัตตาคารของฮังกาเรียนชื่อว่า Hungarian Restaurant มีป้ายไฟเล็กๆ สีแดงบ่งบอกอยู่ เข้าไปในตรอกเล็กๆ ส่วนตัว ภายในบรรยากาศสไตล์ยุโรปตะวันออก บรรดาทูตานุทูตแวะเวียนมาดื่มด่ำกันถ้วนทั่ว เปิดเพลงบรรเลงสไตล์คลาสสิคกล่อมไปพลางๆ นับว่าเป็นร้านอาหารยุโรปยุคแรกแบบมีระดับในเมืองกรุง ส่วนด้านตรงข้ามตรงหัวมุมถนนสาธร-เจริญกรุง ภัตตาคารกวนอาอีกแหล่งรวมอาหารอร่อยและรับจัดงานบันเทิงควบไปด้วย หนักไปทาง “โต๊ะจีน” ที่ขึ้นชื่อลือชาเช่นกัน

ญาติสนิทรุ่นพี่ผมรายหนึ่งก็แต่งสาวเจ้าที่นี่ล่ะ ทุกวันนี้มีลูกมีหลานไปหลายคนทำมาหากินร่ำรวยมีหน้ามีตากันไปถ้วนทั่วด้วยสาวเจ้าเข้มงวดส่งลูกไปคว้าปริญญาโท วิศวฯ จากญี่ปุ่นและเมกากลับมาคนละใบ ส่วนคนเล็กจบหมอเมืองไทยเลยจับเจ่าอยุ่กับคนไข้ไม่ได้ไปต่อไรมากมาย เนื่องด้วยเป็นหมอกินอุดมการณ์ซึ่งสมัยนี้หายากหาเย็นเป็นหมอเล่นหุ้นเล่นหวยกันไปซะหมด แถมหากินกับมนุษย์มนาเข้าให้อีก เจ้าหลานสองรายแรกเจอกระผมมักจะหลบหน้าหลบตา สืบสาวราวเรื่องได้ความว่า “กลัวถูกยืมกะตังค์” เพราะกระผมยากจนที่สุดในบรรดาญาติพี่น้อง ต่างกับคนสุดท้องที่เป็นแพทย์แนวเดียวกับ “เขาชื่อกานต์” หรือ “หมอเมืองพร้าว” ยุคนี้หาหมอแบบนี้แทบไม่เจอแม้แต่วิญญาณของความเป็นแพทย์ ล่าสุดนี่ก็นักเรียนแพทย์ฆ่าหมาเพื่อเอาเงินประกัน…สังคมมันวิกฤติเข้าไปทุกเมื่อเชื่อวัน

สมัยนั้นการจัดงานรื่นเริงหรืองานมงคลต่างๆ ยังไม่มีโรงแรมหรูรองรับ ภัตตาคารจันทร์เพ็ญโด่งดังขึ้นชื่อเป็นพิเศษ ปัจจุบันขยายกิจการจากสถานที่เดิมออกไปกว้างขวางมีที่จอดรถในซอยสะดวกต่อการมาอุดหนุนและขยายสาขาไปแถบถนนรามอินทราช่วงเลยแยกสวนสยามตรงไปทางมีนบุรีอยู่ทางซ้ายมือ

ภัตตาคารสีลมนี่ก็ใช่ อาคารใหญ่โตหลายชั้น มีชั้นดาดฟ้าให้กินลมชมวิวละเลียดอาหารจีน, ไทยและยุโรปครบครัน อาหารถูกปากเอาการเพราะผู้ให้กำเนิดพาแวะเวียนไปบ้างยามได้โชคได้ลาภมา ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่เดิม แต่ไม่เปิดบริการหรือเปิดแบบเป็นส่วนๆ ขนาดเล็กไม่ทราบแน่ เร็วๆ นี้แวะเวียนผ่านไปว่าจะไปอุดหนุนรำลึกอดีตกันซะกะหน่อย เห็นบรรยากาศเงียบฉี่ไม่มีผู้คนขวักไขว่เช่นสมัยก่อน ด้วยเพราะเนื้อที่และอาคารใหญ่โตเอาการ ว่ากันว่าถ้าเจ้าของประกาศขายที่ดินตรงนั้นปาเข้าไปหลายร้อยล้านเชียวละ ส่วนสาขาที่พึงขยับขยายไปใหม่ก็แถบฝั่งธนแถวๆ ตลิ่งชัน ยังไม่เคยไปลองลิ้มชิมรสซะทีว่ายังเหมือนเดิมหรือเปล่า

ฟูมุ่ยกี่ละแวกสุริวงศ์นี่ก็ร้านเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ไปลองลิ้มอาหารรสชาติจีนสไตล์ยุโรป ปัจจุบันยังเปิดบริการอยู่ บรรยากาศยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย สังเกตุได้ง่ายจากบรรดาคนเสิร์ฟ (ไม่อยากใช้คำว่า “เด็กเสิร์ฟ” เพราะสูงอายุกันทั้งนั้น) ที่เสิร์ฟอาหารที่ร้านนี้ตั้งแต่ยังเด็กๆ ยันทุกวันนี้ก็ไม่น่าจะน้อยกว่า 40 ปีขึ้นไป

ส่วนร้านอาหารในกรมศุลกากรนอกจากโรงอาหารที่มีให้เลือกมากมายหลายเจ้าแล้ว ร้านที่ยกระดับหรูขึ้นมาหน่อยเจ้าเก่าแก่เปิดมาตั้งแต่สมัยสร้างเสร็จใหม่ที่พากันโยกย้ายมาจากถิ่นเดิมแถบสุริวงศ์ตรงตรอกโรงภาษี มีอยู่ 3 ร้าน แสงจันทร์, อาลิ้มและเพลินใจ ทุกวันนี้ปิดกิจการไปหลายสิบปีแล้ว เพราะตึกทุบทิ้งไปทำอาคารสำนักงานขนาดใหญ่หลายสิบชั้น ส่วนตรงถนนสุนทรโกษาตึกแถวหน้าสนามฟุตบอลล์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร้านดังๆ ขึ้นชื่อลือชาเห็นจะเป็นร้านก๊วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นสูตรโบร่ำโบราณเยื้องๆ กับร้านก๊วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาแท้อันโอชะ ไม่ทราบว่าทุกวันนี้ยังเปิดให้บริการอยู่หรือเปล่า

เพราะไม่ได้แวะเวียนไปหลายสิบปี คาดว่าคงเลิกกิจการไปโดยปริยายเพราะโลกเปลี่ยนไปและลูกหลานไม่สืบทอดกิจการ เรียนจบสูงๆ ไปเป็นหมอเป็นนายพันนายพลกันหลายต่อคน แลหลายต่อหลายคนอพยพไปอยู่เมืองนอกเมืองนาแบบถาวรมีมากมาย จนไปสร้างแหล่งชุมชนคนไทย อาทิ “ตลาดบางรัก” ที่แคลิฟอร์เนีย ก็ไปจากผู้คนรุ่นใหม่จาก “ตลาดบางรัก” ของกรุงสยามเมืองยิ้มกระหยิ่มแกมหยิ่งๆ ยิ้มแบบเท่ห์ๆ มีเลห์กลดั่งเช่นทุกวันนี้ไปซะแล้ว

พูดถึงตลาดบางรักให้นึกถึงร้านนำเข้าอาหารญี่ปุ่นที่ว่า “สุรเชษฐ์สโตร์” เป็นเจ้าแรกที่นำเข้าอาหารญี่ปุ่นมาเปิดกิจการในเมืองไทย ตั้งร้านอยู่ด้านข้างตัวตลาดสดของตลาดบางรัก ร้านนี้มี บะหมี่ซองของญี่ปุ่นมาวางขายหลายยี่ห้อ รสชาติอร่อยจนจำขึ้นใจมาถึงทุกวันนี้ สมัยที่ยังไม่มี มาม่า ยำยำและไว ไว ของไทยๆ แท้ๆ แต่เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ในไทยเป็นคนจีนและพี่ยุ่นซะมากต่อมาก ไม่ว่าจะเป็น ทรู ช้าง 7-11 เซ็นทรัล .โอยยย นึกไม่หวาดไม่ไหว ส่วนคนไทยมักจะเป็นลูกจ้างไปซะเกือบหมดประเทศ…รวมไปถึงเรื่องของกิจการรถๆ ราๆ ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนๆ หาเจ้าของเป็นคนไทยพันธ์แท้ไม่เจอ

อาลิ้ม ณ โรงภาษี-บรรเลง กว่าจะมาต่อเรื่องเหล้าและเรื่องรถแต่หนหลังก็ฟาดเข้าไปซะหลายเดือน ด้วยบรรดาพวกๆ สมัยรุ่นเดอะลากถูไปตระเวณท่องโลกซะยาวไกล วกเข้าเรื่องเลยแล้วกัน...อันว่าหัวที่จั่วไว้ยังขาดๆ เกินๆ อยู่ อันที่จริงควรจะเป็น "เล่าเรื่องรถรวมเรื่องเหล้าและนารี" ดูจะเข้าท่ากว่าเยอะนะ อันเรื่องนารีนั่นปะไร ให้นึกถึงซอยหมอเหล็งที่ไม่เคยเล็ง แต่บังเอิ้นบังเอิญ ชะตาลิขิตให้พานพบสบสาวเจ้าแล้วก็จากไป ทิ้งไว้ไม่ให้ลืมเลือน. ต่อจากตอนที่แล้วที่ติดค้างเนื่องจากติดลม เข้าเรื่องบางกอกแต่หนหลัง ช่วงที่ว่าด้วยอดีตของท้องถิ่นแถวท่าเรือคลองเตยในยุคเริ่มแรกที่สร้างเสร็จใหม่ๆ กลายเป็นแหล่งรวมของหน่วยงานราชการที่ขยับขยายเข้ามาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อรองรับการหารายได้เข้าประเทศแหล่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ยุคก่อนเกิดสงครามเวียตนาม เริ่มกันตั้งแต่ การท่าเรือแห่งประเทศไทยสร้างเสร็จ กรมศุลกากรก็ตามมา รถไฟก็ต้องมา โรงไฟฟ้าก็ต้องตามมารองรับความเจริญ การประปาก็มากับเขาด้วย องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์หรือ รสพ. ก็มาตั้งฐานบัญชาการอยู่ตรงแยกทางรถไฟซึ่งปิดกิจการไปแล้วเนื่องจากขาดทุนย่อยยับขายสินทรัพย์ไม่พอใช้หนี้สินปรับองค์กรไม่ทันยุคที่มีเอกชนเข้ามาแข่งขันให้บริการที่ดีกว่าซึ่ง รสพ. มีสาขาอยู่ทั่วประเทศก็ตาม อำเภอหรือที่เรียกกันว่าเขตก็ตามมาทีหลัง บริษัทค้าขายกับต่างประเทศก็ต้องมา คลังน้ำมันก็มา อู่รถเมล์ก็ต้องมีต้นสายปลายสายที่นี่ สถานีตำรวจก็มีสองแห่ง คลังสินค้าก็เพิ่มมากขึ้น สถานที่พักสินค้ากลางแจ้งหรือที่พักตู้คอนเทนเนอร์ก็ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ และแล้วในที่สุดก็ต้องมีกรรมกรคนงานรองรับการขนส่งสินค้าทั้งมวล จนเกิด “สลัม” ขึ้นเป็นแห่งแรกของเมืองสยาม กลายเป็นแหล่งอาชญากรรมและยาเสพติดขนาดใหญ่สุดอีกเช่นกัน ด้วยบรรดาผู้คนจากทั่วทุกสารทิศของไทยเข้ามารวมตัวอยู่ในแหล่งเดียวกันจำนวนมาก ประกอบกับการทำมาหากินคล่อง รายได้ดี แหล่งบันเทิงหลากหลายรูปแบบจึงตามมามีให้เลือกหลายระดับ ท้ายที่สุดแหล่งการพนันก็ไม่พ้น หลายระดับอีกเช่นกัน ระดับล่างสุดก็ปากทางเข้าวัดคลองเตยใน จากถนนสุนทรโกษาเข้าไปในซอยเล็กๆ ยามค่ำคืนจะพบกับย่านบันเทิงและวงการพนันตามบริเวณทางรถไฟที่มารวมกันหลายรางเป็นบริเวณกว้าง เปิดให้บริการโจ๋งครึ่มเลยทีเดียว เหตุร้ายต่างๆ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เอือมระอา ปล่อยเป็นไปตามแล้วแต่อิสระเสรีภาพเกินร้อย ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐก็ใหญ่ๆ โตๆ คับบ้านคับเมืองกันถ้วนหน้า พอตั้งวงรวมก๊วนร่ำสุราได้ที่ สายตาขวางโลก เขม่นโต๊ะข้างๆ หิวโลหิตสดๆ โต๊ะข้างๆ ขึ้นมาทันควัน ไม่ว่าจะเป็น ข้าการท่าเรือใหญ่สุด, ข้าศุลกากรใหญ่กว่า, ข้าตำรวจน้ำใหญ่กว่าสุด, ข้า รสพ. ถึงจะไม่ใหญ่...แต่ยาว, ข้าชิปปิ้งใหญ่สุดๆ เพราะเลี้ยงพวกเอ็ง, ข้ารถเมล์เจ๊งและใหญ่อย่างที่สุดและข้ากรรมกรใหญ่กว่าทุกกรมกอง นึกภาพกันเอาเองแล้วกันครับท่าน ชุลมุนชุลเกกันอยู่แถบนั้น เรื่องราวเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ยกพวกตีกันมั่วไปหมด หัวร้างข้างแตกอย่างถ้วนทั่วด้วยยุคสมัยนั้นออกแนว “นักเลงโบราณ” ล่อหมัดกันลุนๆ มีคนแจ้งเหตุไปยังสน. ท่าเรือ พวกนี้ก็ไม่หวั่น เด็กเล็กติดยากันงอมแงม มีลูกมีเต้ากันแต่เล็กแต่น้อย ยังเล่นโดดเชือกหรือหมากเก็บกันอยู่ทั้งนั้น โรงพยาบาลขนาดย่อมตรงหัวมุมตรงข้ามกับกรมศุลกากรสมัยก่อนเงียบสงบ ร่มรื่น ต้องปรับเป็นโรงพยาบาลใหญ่เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อทางเพศในเมืองกรุงไปโดยปริยาย กำลังได้ที่ทีเดียว หลงลืมเล่าเรื่องรถเรื่องราจนได้ ว่าจะเล่าเรื่องรถ รสพ. ซักกะหน่อย เป็นรถนำเข้าจากเช็คโกสโลวาเกีย สมัยยังไม่แบ่งแยกประเทศ รถบรรทุกแบบรถ 10 ล้อบรรทุกเรือมาลงท่าเรือคลองเตย แต่ไม่มีเจ้าของมารับรถ ท้ายที่สุดส่งมอบให้กับ รสพ. รับไปบริการขนส่งสินค้า ส่วนเรื่องร้านอาหาร, ภัตตาคารต่าง ๆ ไม่ไกลเกินจากที่พำนักอาศัยเกริ่นพอให้เป็นกระสัยแล้วกัน ตรงหัวมุมถนนสาธรฟากทางเข้าจากถนนพระราม ๔ มีภัตตาคารของฮังกาเรียนชื่อว่า Hungarian Restaurant มีป้ายไฟเล็กๆ สีแดงบ่งบอกอยู่ เข้าไปในตรอกเล็กๆ ส่วนตัว ภายในบรรยากาศสไตล์ยุโรปตะวันออก บรรดาทูตานุทูตแวะเวียนมาดื่มด่ำกันถ้วนทั่ว เปิดเพลงบรรเลงสไตล์คลาสสิคกล่อมไปพลางๆ นับว่าเป็นร้านอาหารยุโรปยุคแรกแบบมีระดับในเมืองกรุง ส่วนด้านตรงข้ามตรงหัวมุมถนนสาธร-เจริญกรุง ภัตตาคารกวนอาอีกแหล่งรวมอาหารอร่อยและรับจัดงานบันเทิงควบไปด้วย หนักไปทาง “โต๊ะจีน” ที่ขึ้นชื่อลือชาเช่นกัน ญาติสนิทรุ่นพี่ผมรายหนึ่งก็แต่งสาวเจ้าที่นี่ล่ะ ทุกวันนี้มีลูกมีหลานไปหลายคนทำมาหากินร่ำรวยมีหน้ามีตากันไปถ้วนทั่วด้วยสาวเจ้าเข้มงวดส่งลูกไปคว้าปริญญาโท วิศวฯ จากญี่ปุ่นและเมกากลับมาคนละใบ ส่วนคนเล็กจบหมอเมืองไทยเลยจับเจ่าอยุ่กับคนไข้ไม่ได้ไปต่อไรมากมาย เนื่องด้วยเป็นหมอกินอุดมการณ์ซึ่งสมัยนี้หายากหาเย็นเป็นหมอเล่นหุ้นเล่นหวยกันไปซะหมด แถมหากินกับมนุษย์มนาเข้าให้อีก เจ้าหลานสองรายแรกเจอกระผมมักจะหลบหน้าหลบตา สืบสาวราวเรื่องได้ความว่า “กลัวถูกยืมกะตังค์” เพราะกระผมยากจนที่สุดในบรรดาญาติพี่น้อง ต่างกับคนสุดท้องที่เป็นแพทย์แนวเดียวกับ "เขาชื่อกานต์" หรือ "หมอเมืองพร้าว" ยุคนี้หาหมอแบบนี้แทบไม่เจอแม้แต่วิญญาณของความเป็นแพทย์ ล่าสุดนี่ก็นักเรียนแพทย์ฆ่าหมาเพื่อเอาเงินประกัน...สังคมมันวิกฤติเข้าไปทุกเมื่อเชื่อวัน สมัยนั้นการจัดงานรื่นเริงหรืองานมงคลต่างๆ ยังไม่มีโรงแรมหรูรองรับ ภัตตาคารจันทร์เพ็ญโด่งดังขึ้นชื่อเป็นพิเศษ ปัจจุบันขยายกิจการจากสถานที่เดิมออกไปกว้างขวางมีที่จอดรถในซอยสะดวกต่อการมาอุดหนุนและขยายสาขาไปแถบถนนรามอินทราช่วงเลยแยกสวนสยามตรงไปทางมีนบุรีอยู่ทางซ้ายมือ ภัตตาคารสีลมนี่ก็ใช่ อาคารใหญ่โตหลายชั้น มีชั้นดาดฟ้าให้กินลมชมวิวละเลียดอาหารจีน, ไทยและยุโรปครบครัน อาหารถูกปากเอาการเพราะผู้ให้กำเนิดพาแวะเวียนไปบ้างยามได้โชคได้ลาภมา ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่เดิม แต่ไม่เปิดบริการหรือเปิดแบบเป็นส่วนๆ ขนาดเล็กไม่ทราบแน่ เร็วๆ นี้แวะเวียนผ่านไปว่าจะไปอุดหนุนรำลึกอดีตกันซะกะหน่อย เห็นบรรยากาศเงียบฉี่ไม่มีผู้คนขวักไขว่เช่นสมัยก่อน ด้วยเพราะเนื้อที่และอาคารใหญ่โตเอาการ ว่ากันว่าถ้าเจ้าของประกาศขายที่ดินตรงนั้นปาเข้าไปหลายร้อยล้านเชียวละ ส่วนสาขาที่พึงขยับขยายไปใหม่ก็แถบฝั่งธนแถวๆ ตลิ่งชัน ยังไม่เคยไปลองลิ้มชิมรสซะทีว่ายังเหมือนเดิมหรือเปล่า ฟูมุ่ยกี่ละแวกสุริวงศ์นี่ก็ร้านเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ไปลองลิ้มอาหารรสชาติจีนสไตล์ยุโรป ปัจจุบันยังเปิดบริการอยู่ บรรยากาศยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย สังเกตุได้ง่ายจากบรรดาคนเสิร์ฟ (ไม่อยากใช้คำว่า “เด็กเสิร์ฟ” เพราะสูงอายุกันทั้งนั้น) ที่เสิร์ฟอาหารที่ร้านนี้ตั้งแต่ยังเด็กๆ ยันทุกวันนี้ก็ไม่น่าจะน้อยกว่า 40 ปีขึ้นไป ส่วนร้านอาหารในกรมศุลกากรนอกจากโรงอาหารที่มีให้เลือกมากมายหลายเจ้าแล้ว ร้านที่ยกระดับหรูขึ้นมาหน่อยเจ้าเก่าแก่เปิดมาตั้งแต่สมัยสร้างเสร็จใหม่ที่พากันโยกย้ายมาจากถิ่นเดิมแถบสุริวงศ์ตรงตรอกโรงภาษี มีอยู่ 3 ร้าน แสงจันทร์, อาลิ้มและเพลินใจ ทุกวันนี้ปิดกิจการไปหลายสิบปีแล้ว เพราะตึกทุบทิ้งไปทำอาคารสำนักงานขนาดใหญ่หลายสิบชั้น ส่วนตรงถนนสุนทรโกษาตึกแถวหน้าสนามฟุตบอลล์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร้านดังๆ ขึ้นชื่อลือชาเห็นจะเป็นร้านก๊วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นสูตรโบร่ำโบราณเยื้องๆ กับร้านก๊วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาแท้อันโอชะ ไม่ทราบว่าทุกวันนี้ยังเปิดให้บริการอยู่หรือเปล่า เพราะไม่ได้แวะเวียนไปหลายสิบปี คาดว่าคงเลิกกิจการไปโดยปริยายเพราะโลกเปลี่ยนไปและลูกหลานไม่สืบทอดกิจการ เรียนจบสูงๆ ไปเป็นหมอเป็นนายพันนายพลกันหลายต่อคน แลหลายต่อหลายคนอพยพไปอยู่เมืองนอกเมืองนาแบบถาวรมีมากมาย จนไปสร้างแหล่งชุมชนคนไทย อาทิ “ตลาดบางรัก” ที่แคลิฟอร์เนีย ก็ไปจากผู้คนรุ่นใหม่จาก “ตลาดบางรัก” ของกรุงสยามเมืองยิ้มกระหยิ่มแกมหยิ่งๆ ยิ้มแบบเท่ห์ๆ มีเลห์กลดั่งเช่นทุกวันนี้ไปซะแล้ว พูดถึงตลาดบางรักให้นึกถึงร้านนำเข้าอาหารญี่ปุ่นที่ว่า “สุรเชษฐ์สโตร์” เป็นเจ้าแรกที่นำเข้าอาหารญี่ปุ่นมาเปิดกิจการในเมืองไทย ตั้งร้านอยู่ด้านข้างตัวตลาดสดของตลาดบางรัก ร้านนี้มี บะหมี่ซองของญี่ปุ่นมาวางขายหลายยี่ห้อ รสชาติอร่อยจนจำขึ้นใจมาถึงทุกวันนี้ สมัยที่ยังไม่มี มาม่า ยำยำและไว ไว ของไทยๆ แท้ๆ แต่เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ในไทยเป็นคนจีนและพี่ยุ่นซะมากต่อมาก ไม่ว่าจะเป็น ทรู ช้าง 7-11 เซ็นทรัล .โอยยย นึกไม่หวาดไม่ไหว ส่วนคนไทยมักจะเป็นลูกจ้างไปซะเกือบหมดประเทศ...รวมไปถึงเรื่องของกิจการรถๆ ราๆ ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนๆ หาเจ้าของเป็นคนไทยพันธ์แท้ไม่เจอ

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!