The Man, The Management, The Machines.
เทตซึโอะ ซากิยะ เขียน
ธนิต ธรรมสุคติ แปล จากต้นฉบับ Updated paperback Edition 1987
สงวนลิขสิทธิ์
โซอิจิโร ฮอนด้า
ปูชนียบุคคลที่โลกยานยนต์ต้องจารึก
อัจฉริยบุคคลผู้ก่อตั้ง…และวางรากฐานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้กับ “บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด” เป็นชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ได้รับเกียรติยศอันสูงส่ง ให้เป็นสมาชิกทำเนียบ “ปูชนียบุคคลยานยนต์โลก” (AUTOMOTIVE HALL OF FAME) อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2532
ในเดือนกรกฎาคม 1950 โซฮิโอะ (สภาสหภาพแรงงานญี่ปุ่น) ก่อตั้งขึ้นโดยมีสมาชิก 2.76 ล้านคน ซึ่งรวมสหภาพแรงงานหลายสหภาพที่แยกตัวมาจาก โซโดเมอิ และ ซันเบตซึ รวมทั้งพวกที่มาจาก มินโดะ ด้วย ไม่เหมือนกับ โซโดเมอิ ตรงที่ โซฮิโอะ เน้นการต่อสู้ทางการเมืองแต่ก็ให้ความร่วมมือกับฝ่ายบริหารและสนับสนุนพรรคสังคมนิยม
หลังจากที่สนธิสัญญาสันติภาพมีผลใช้บังคับในเดือนเมษายน 1952 การเคลื่อนไหวทางแรงงานในญี่ปุ่นก็เริ่มมีการต่อต้านอเมริกันมากขึ้น โดยอ้างว่าญี่ปุ่นได้เอกราชคืนมาแต่เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงนั้นญี่ปุ่นเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกา โดยใช้คำขวัญว่า “เอกราชที่แท้จริงสำหรับชาวญี่ปุ่น”
องค์การแรงงานต่าง ๆ จึงจัดให้มีการเดินขบวนต่อต้านฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นหลายครั้ง บางครั้งก็เป็นไปอย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำตอนหลังสงครามกระทบกระเทือนไปทั่วประเทศในตอนปลายสงครามเกาหลี ในปี 1953 และมีข้อพิพาทแรงงานหลายครั้งเกี่ยวกับการขอขึ้นค่าแรงในวงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เหล็ก ถ่านหิน เยื่อกระดาษและกระดาษ รถยนต์ และสิ่งทอ
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เผชิญหน้าฮอนด้า มอเตอร์ในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องสหภาพ แต่เป็นเรื่องลูกค้า ถึงปี 1954 ลูกค้าไม่พอใจกับแบบของการขนส่งของรถรุ่นคับที่ใช้เครื่องยนต์ติดกับตัวรถ จักรยานยนต์เบนลี่ก็ไม่เป็นที่นิยมเพราะเสียงเกียร์และเสียงแท่งแท็พเพทดังเกินไป ยิ่งกว่านั้นสกู๊ตเตอร์จูโนก็มีปัญหาต่าง ๆ มากมายจนลูกค้าต่อว่า รูปร่างสวยทำจากโพลีเอสเตอร์ เรซิน ที่ทำให้จูโนขายได้แต่ก็เป็นจุดอ่อนด้วย เพราะเครื่องยนต์อยู่ในที่ครอบ จึงเกิดเครื่องร้อนมากเกินไป ลูกค้ายังต่อว่าอีกเกี่ยวกับรถรุ่นไทพ์อี ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท สมรรถภาพของเครื่องยนต์ที่เพิ่มจาก 200 ซีซี. (ซึ่งเพิ่มจากของเดิม 146 ซีซี.) ขึ้นเป็น 225 ซีซี. โดยหวังว่าการขายจะเพิ่มขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ แต่การเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์มีแต่ทำให้มีเรื่องปวดหัวมากขึ้น
โซอิชิโร ฮอนด้าหน้าซีดเมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ที่เขารักมากขายไม่ออก อยู่เป็นจำนวนมาก วิศวกรหนุ่ม ๆ ของเขากล่าวว่าต้นตอของปัญหาของรถรุ่นไทพ์อีนั้นอยู่ที่การเพิ่มสมรรถภาพของเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเป็นเครื่องขนาด 146 ซีซี. แต่ต้องถูกดัดแปลงให้เป็น 225 ซีซี. ฮอนด้าก็ดึงดันอย่างเคย คือไม่ยอมเปลี่ยนจากความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลาดอยู่ที่คาร์บูเรเตอร์ ในระหว่างนั้นทาเกโอะ ฟูจิซาวะ ก็ไม่รู้จะจัดการเรื่องการเงินอย่างไร “นี่เป็นแบบของความปวดร้าวที่นักบริหารบริษัททุกคนต้องเคยพบอย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง” เขาบอกตัวเองแต่เขาฝันร้ายอยู่บ่อย ๆ เรื่องเช็คบริษัทเด้ง
ฮอนด้า มอเตอร์ซึ่งเริ่มต้นจากสิ่งที่ดีกว่าเพิงธรรมดา ๆ เล็กน้อย เริ่มสร้างอุปกรณ์การผลิตที่ทันสมัยระหว่างปี 1952 และ 1953 เงินทุนนั้นได้มาจากการดำเนินการชั่วครั้งชั่วคราว คือได้เงินมาเร็วจากการขายสินค้า ซึ่งตามหลังการล่าช้าในการชำระหนี้ ว่าไปแล้วก็คือการหาความอบอุ่นจากการอยู่ใกล้ไฟคนอื่น ความพินาศที่โถบทับบริษัทในปี 1954 จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป้าหมายของฮอนด้า มอเตอร์สำหรับปีนั้นก็คือ รายได้เดือนละ 1 พันล้านเยน โดยที่ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ นั้นได้มาจากเงินที่หามาได้ชั่วครั้งชั่วคราว ความจริงแล้ว รายได้ระหว่าง 12 เดือนนับจากมีนาคม 1954 ถึง กุมภาพันธ์ 1955 รวมทั้งสิ้น 5,979 ล้านเยน และยอดขายรายเดือนตกลงเหลือ 500 ล้านเยน
ฟูจิซาวะถึงกับพิจารณาจะประกาศล้มละลายบริษัทและตัดสินใจบอกธนาคารมิตซูบิชิว่าบริษัทอยู่ในฐานะถูกพิทักษ์ทรัพย์ ที่เขาคิดอยู่คือมอบหุ้นทั้งหมดของบริษัทที่เป็นของฮอนด้าและฟูจิซาวะให้กับธนาคาร และถ้าจำเป็นก็รวมทั้งหุ้นของคนอื่น ๆ ที่ได้เป็นกรรมการบริษัทตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท หุ้นของฮอนด้า มอเตอร์นั้นถึงแม้ว่าบริษัทจะล้มละลายไปก็ยังมีค่าเพราะบริษัทมีอุปกรณ์การผลิตและเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย
อย่างไรก็ตามความเลวร้ายก็แปรเปลี่ยนไป ทางสหภาพเมื่อรู้ถึงความเดือดร้อนของบริษัทก็เรียกร้องต่อสมาชิกของตนในเดือนเมษายนโดยกล่าวว่า “ขอให้พวกเราเอาชนะปัญหาเหล่านี้ด้วยความสามัคคีอันทรงพลังของบรรดาสมาชิกสหภาพ เพื่อว่าเราจะได้สามารถเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ได้มากกว่านี้แก่พวกเราทุกคนที่ทำงานกับบริษัทฮอนด้า มอเตอร์”
ในแถลงการณ์พิเศษนั้น ประธานสหภาพเรียกร้องว่า “ฝ่ายบริหารแสวงหาความร่วมมือจากสมาชิกสหภาพด้วยความประสงค์ดี” ทางฝ่ายบริหารก็ตอบไปว่า ถูกต้องแล้วและในขณะเดียวกันก็แสวงหาการช่วยเหลือจากสหภาพในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้ ผลที่ได้รับจากการตกลงครั้งนี้ก็คือ ฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายบริหารทำงานร่วมกันที่โรงงานชิราโกะ เพื่อเพิ่มการผลิตรถรุ่นดรีมขนาด 200 ซีซี. โครงการผลิตและขายรถขนาด 200 ซีซี. ดำเนินต่อไปจากวันที่ 20 เมษายน ถึง 8 พฤษภาคม ซึ่งในช่วงนี้พวกคนงานทำงานโดยไม่มีวันหยุดและบางครั้งก็ทำงานกันทั้งคืน
ในวันที่ 27 เมษายน หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ดำเนินการตามโครงการนี้ฮอนด้าก็โทรศัพท์ถึงฟูจิซาวะอย่างร่าเริง “เมื่อคืนนี้ฝันไป ฝันว่าเปลี่ยนคาร์บูเรเตอร์แล้วเครื่องยนต์ก็ติดแล้วไม่ยอมหยุด ทีนี้ก็เป็นรู้แล้วว่าไอ้ตัวปัญหาก็คือคาร์บูเรเตอร์” ฮอนด้ารีบรุดไปหามิกูนิ โตเกียวผู้ผลิตคาร์บูเรเตอร์ในเมืองโอดาวาระ ที่เขาทดสอบคาร์บูเรเตอร์ใหม่และในที่สุดก็แก้ปัญหารถรุ่นดรีมไทพ์อี ในขณะที่รถดรีมขนาด 225 ซีซี. ออกสู่ตลาด ยอดขายรถขนาด 200 ซีซี. ก็ตกและกลายเป็นภาระแก่บริษัท ในการจัดการแก้ปัญหานี้ ฮอนด้า มอเตอร์จึงจำต้องทำ “โครงการพิเศษเพื่อลดการผลิต”
The Man, The Management, The Machines.
เทตซึโอะ ซากิยะ เขียน
ธนิต ธรรมสุคติ แปล จากต้นฉบับ Updated paperback Edition 1987
สงวนลิขสิทธิ์
โซอิจิโร ฮอนด้า
ปูชนียบุคคลที่โลกยานยนต์ต้องจารึก
อัจฉริยบุคคลผู้ก่อตั้ง...และวางรากฐานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้กับ "บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด" เป็นชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ได้รับเกียรติยศอันสูงส่ง ให้เป็นสมาชิกทำเนียบ "ปูชนียบุคคลยานยนต์โลก" (AUTOMOTIVE HALL OF FAME) อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2532
ในเดือนกรกฎาคม 1950 โซฮิโอะ (สภาสหภาพแรงงานญี่ปุ่น) ก่อตั้งขึ้นโดยมีสมาชิก 2.76 ล้านคน ซึ่งรวมสหภาพแรงงานหลายสหภาพที่แยกตัวมาจาก โซโดเมอิ และ ซันเบตซึ รวมทั้งพวกที่มาจาก มินโดะ ด้วย ไม่เหมือนกับ โซโดเมอิ ตรงที่ โซฮิโอะ เน้นการต่อสู้ทางการเมืองแต่ก็ให้ความร่วมมือกับฝ่ายบริหารและสนับสนุนพรรคสังคมนิยม
หลังจากที่สนธิสัญญาสันติภาพมีผลใช้บังคับในเดือนเมษายน 1952 การเคลื่อนไหวทางแรงงานในญี่ปุ่นก็เริ่มมีการต่อต้านอเมริกันมากขึ้น โดยอ้างว่าญี่ปุ่นได้เอกราชคืนมาแต่เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงนั้นญี่ปุ่นเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกา โดยใช้คำขวัญว่า "เอกราชที่แท้จริงสำหรับชาวญี่ปุ่น"
องค์การแรงงานต่าง ๆ จึงจัดให้มีการเดินขบวนต่อต้านฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นหลายครั้ง บางครั้งก็เป็นไปอย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำตอนหลังสงครามกระทบกระเทือนไปทั่วประเทศในตอนปลายสงครามเกาหลี ในปี 1953 และมีข้อพิพาทแรงงานหลายครั้งเกี่ยวกับการขอขึ้นค่าแรงในวงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เหล็ก ถ่านหิน เยื่อกระดาษและกระดาษ รถยนต์ และสิ่งทอ
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เผชิญหน้าฮอนด้า มอเตอร์ในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องสหภาพ แต่เป็นเรื่องลูกค้า ถึงปี 1954 ลูกค้าไม่พอใจกับแบบของการขนส่งของรถรุ่นคับที่ใช้เครื่องยนต์ติดกับตัวรถ จักรยานยนต์เบนลี่ก็ไม่เป็นที่นิยมเพราะเสียงเกียร์และเสียงแท่งแท็พเพทดังเกินไป ยิ่งกว่านั้นสกู๊ตเตอร์จูโนก็มีปัญหาต่าง ๆ มากมายจนลูกค้าต่อว่า รูปร่างสวยทำจากโพลีเอสเตอร์ เรซิน ที่ทำให้จูโนขายได้แต่ก็เป็นจุดอ่อนด้วย เพราะเครื่องยนต์อยู่ในที่ครอบ จึงเกิดเครื่องร้อนมากเกินไป ลูกค้ายังต่อว่าอีกเกี่ยวกับรถรุ่นไทพ์อี ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท สมรรถภาพของเครื่องยนต์ที่เพิ่มจาก 200 ซีซี. (ซึ่งเพิ่มจากของเดิม 146 ซีซี.) ขึ้นเป็น 225 ซีซี. โดยหวังว่าการขายจะเพิ่มขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ แต่การเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์มีแต่ทำให้มีเรื่องปวดหัวมากขึ้น
โซอิชิโร ฮอนด้าหน้าซีดเมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ที่เขารักมากขายไม่ออก อยู่เป็นจำนวนมาก วิศวกรหนุ่ม ๆ ของเขากล่าวว่าต้นตอของปัญหาของรถรุ่นไทพ์อีนั้นอยู่ที่การเพิ่มสมรรถภาพของเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเป็นเครื่องขนาด 146 ซีซี. แต่ต้องถูกดัดแปลงให้เป็น 225 ซีซี. ฮอนด้าก็ดึงดันอย่างเคย คือไม่ยอมเปลี่ยนจากความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลาดอยู่ที่คาร์บูเรเตอร์ ในระหว่างนั้นทาเกโอะ ฟูจิซาวะ ก็ไม่รู้จะจัดการเรื่องการเงินอย่างไร "นี่เป็นแบบของความปวดร้าวที่นักบริหารบริษัททุกคนต้องเคยพบอย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง" เขาบอกตัวเองแต่เขาฝันร้ายอยู่บ่อย ๆ เรื่องเช็คบริษัทเด้ง
ฮอนด้า มอเตอร์ซึ่งเริ่มต้นจากสิ่งที่ดีกว่าเพิงธรรมดา ๆ เล็กน้อย เริ่มสร้างอุปกรณ์การผลิตที่ทันสมัยระหว่างปี 1952 และ 1953 เงินทุนนั้นได้มาจากการดำเนินการชั่วครั้งชั่วคราว คือได้เงินมาเร็วจากการขายสินค้า ซึ่งตามหลังการล่าช้าในการชำระหนี้ ว่าไปแล้วก็คือการหาความอบอุ่นจากการอยู่ใกล้ไฟคนอื่น ความพินาศที่โถบทับบริษัทในปี 1954 จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป้าหมายของฮอนด้า มอเตอร์สำหรับปีนั้นก็คือ รายได้เดือนละ 1 พันล้านเยน โดยที่ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ นั้นได้มาจากเงินที่หามาได้ชั่วครั้งชั่วคราว ความจริงแล้ว รายได้ระหว่าง 12 เดือนนับจากมีนาคม 1954 ถึง กุมภาพันธ์ 1955 รวมทั้งสิ้น 5,979 ล้านเยน และยอดขายรายเดือนตกลงเหลือ 500 ล้านเยน
ฟูจิซาวะถึงกับพิจารณาจะประกาศล้มละลายบริษัทและตัดสินใจบอกธนาคารมิตซูบิชิว่าบริษัทอยู่ในฐานะถูกพิทักษ์ทรัพย์ ที่เขาคิดอยู่คือมอบหุ้นทั้งหมดของบริษัทที่เป็นของฮอนด้าและฟูจิซาวะให้กับธนาคาร และถ้าจำเป็นก็รวมทั้งหุ้นของคนอื่น ๆ ที่ได้เป็นกรรมการบริษัทตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท หุ้นของฮอนด้า มอเตอร์นั้นถึงแม้ว่าบริษัทจะล้มละลายไปก็ยังมีค่าเพราะบริษัทมีอุปกรณ์การผลิตและเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย
อย่างไรก็ตามความเลวร้ายก็แปรเปลี่ยนไป ทางสหภาพเมื่อรู้ถึงความเดือดร้อนของบริษัทก็เรียกร้องต่อสมาชิกของตนในเดือนเมษายนโดยกล่าวว่า "ขอให้พวกเราเอาชนะปัญหาเหล่านี้ด้วยความสามัคคีอันทรงพลังของบรรดาสมาชิกสหภาพ เพื่อว่าเราจะได้สามารถเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ได้มากกว่านี้แก่พวกเราทุกคนที่ทำงานกับบริษัทฮอนด้า มอเตอร์"
ในแถลงการณ์พิเศษนั้น ประธานสหภาพเรียกร้องว่า "ฝ่ายบริหารแสวงหาความร่วมมือจากสมาชิกสหภาพด้วยความประสงค์ดี" ทางฝ่ายบริหารก็ตอบไปว่า ถูกต้องแล้วและในขณะเดียวกันก็แสวงหาการช่วยเหลือจากสหภาพในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้ ผลที่ได้รับจากการตกลงครั้งนี้ก็คือ ฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายบริหารทำงานร่วมกันที่โรงงานชิราโกะ เพื่อเพิ่มการผลิตรถรุ่นดรีมขนาด 200 ซีซี. โครงการผลิตและขายรถขนาด 200 ซีซี. ดำเนินต่อไปจากวันที่ 20 เมษายน ถึง 8 พฤษภาคม ซึ่งในช่วงนี้พวกคนงานทำงานโดยไม่มีวันหยุดและบางครั้งก็ทำงานกันทั้งคืน
ในวันที่ 27 เมษายน หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ดำเนินการตามโครงการนี้ฮอนด้าก็โทรศัพท์ถึงฟูจิซาวะอย่างร่าเริง "เมื่อคืนนี้ฝันไป ฝันว่าเปลี่ยนคาร์บูเรเตอร์แล้วเครื่องยนต์ก็ติดแล้วไม่ยอมหยุด ทีนี้ก็เป็นรู้แล้วว่าไอ้ตัวปัญหาก็คือคาร์บูเรเตอร์" ฮอนด้ารีบรุดไปหามิกูนิ โตเกียวผู้ผลิตคาร์บูเรเตอร์ในเมืองโอดาวาระ ที่เขาทดสอบคาร์บูเรเตอร์ใหม่และในที่สุดก็แก้ปัญหารถรุ่นดรีมไทพ์อี ในขณะที่รถดรีมขนาด 225 ซีซี. ออกสู่ตลาด ยอดขายรถขนาด 200 ซีซี. ก็ตกและกลายเป็นภาระแก่บริษัท ในการจัดการแก้ปัญหานี้ ฮอนด้า มอเตอร์จึงจำต้องทำ "โครงการพิเศษเพื่อลดการผลิต"