ฟอร์ด แนะเทคนิคขับรถให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุในช่วงฤดูฝน


ข้อแนะนำทั่วไปสำหรับการขับรถในสภาพอากาศเลวร้าย

ลดความเร็วลง เราต่างรู้กันอยู่แล้วว่า เมื่อถนนเปียก พื้นถนนจะลื่นขึ้น และทำให้เราจำเป็นต้องลดความเร็วลง ซึ่งความเร็วสูงสุดที่กำหนดไว้สำหรับถนนเส้นนั้นเป็นความเร็วที่ถูกกำหนดให้ใช้ได้ในสภาพถนนปกติเท่านั้น ไม่ควรใช้ความเร็วดังกล่าว เมื่อต้องขับรถบนพื้นถนนเปียก

เพิ่มทัศนวิสัยระหว่างฝนตก การมองไปข้างหน้าให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้จะทำให้คุณมีโอกาสดีที่สุดในการรับมือกับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น “หนึ่งในทางที่ดีที่สุด คือ การขับรถอยู่ในเลนที่ไม่มีรถข้างหน้าบังสายตา” เคน เฮปเบิร์น ผู้ประสานงานด้านความปลอดภัยของผู้ขับและท้องถนน ณ สนามทดสอบยูยางของฟอร์ด ในประเทศออสเตรเลีย กล่าว

“อีกวิธี คือ การขับตามรถคันข้างหน้า (ในระยะห่างที่ปลอดภัย) ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เพื่อที่คุณจะสามารถมองเห็นรถคันข้างหน้า รวมถึงพื้นที่ระหว่างรถคันหน้า อย่าขับตามรถบรรทุกคันใหญ่ๆ ที่บดบังทัศนวิสัยของคุณ นอกจากนั้น การเรียนรู้ที่จะใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ในรถของคุณ ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถช่วยคุณได้”

สิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่อเจอผิวถนนที่ชำรุด

ระวังแอ่งน้ำบนถนน แอ่งน้ำเล็กๆ อาจซ่อนหลุมขนาดใหญ่เอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น หากมีน้ำมากพอ ยางรถยนต์อาจไม่สามารถรีดน้ำออกได้ทันและส่งผลให้รถไม่เกาะถนน

อย่าขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม อย่าพยายามขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วมในระดับที่คุณไม่สามารถเดินผ่านได้ และระวังจุดที่น้ำท่วมขังอยู่บนพื้นถนน เพราะใต้น้ำท่วมขังอาจไม่มีพื้นถนนอยู่ น้ำท่วมอาจพัดเอาพื้นถนนออกไปทั้งหมด และหากน้ำเข้าไปยังวาล์วไอดีและเครื่องยนต์ รถอาจจะดับ และคุณจะติดอยู่ในรถ

ควรระมัดระวังเป็นพิเศษกับถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ระมัดระวังเป็นพิเศษกับเศษซากต่างๆ บนพื้นถนน เช่น ก้อนหิน ที่อาจถูกทำให้เคลื่อนที่โดยสายฝน ซึ่งถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกจะทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น โดยถนนจะถูกกัดเซาะและทำให้เปลี่ยนสภาพไปจนอาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่หรือสไลด์ของหน้าดิน

เตรียมตัวรับมือกับสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น อันตรายบนท้องถนนไม่เพียงมีสาเหตุจากธรรมชาติ เช่น ก้อนหินและกิ่งไม้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนเดินเท้าทั่วไป สัตว์ต่างๆ รวมถึงรถคันอื่นที่ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน “เพื่อหลีกเลี่ยงกับสิ่งเหล่านั้น คุณต้องขับรถให้ช้าพอเพื่อที่จะสามารถสังเกตและมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้ทันที จนสามารถหยุดรถได้สนิท ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น”

เฮปเบิร์น กล่าว “หลักการทั่วไป คือ ระยะห่างจากสิ่งที่เห็น ไม่ควรน้อยกว่าสี่เท่าของระยะหยุดรถของคุณ”

ข้อแนะนำทั่วไปสำหรับการขับรถในสภาพอากาศเลวร้าย

ลดความเร็วลง เราต่างรู้กันอยู่แล้วว่า เมื่อถนนเปียก พื้นถนนจะลื่นขึ้น และทำให้เราจำเป็นต้องลดความเร็วลง ซึ่งความเร็วสูงสุดที่กำหนดไว้สำหรับถนนเส้นนั้นเป็นความเร็วที่ถูกกำหนดให้ใช้ได้ในสภาพถนนปกติเท่านั้น ไม่ควรใช้ความเร็วดังกล่าว เมื่อต้องขับรถบนพื้นถนนเปียก

เพิ่มทัศนวิสัยระหว่างฝนตก การมองไปข้างหน้าให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้จะทำให้คุณมีโอกาสดีที่สุดในการรับมือกับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น “หนึ่งในทางที่ดีที่สุด คือ การขับรถอยู่ในเลนที่ไม่มีรถข้างหน้าบังสายตา” เคน เฮปเบิร์น ผู้ประสานงานด้านความปลอดภัยของผู้ขับและท้องถนน ณ สนามทดสอบยูยางของฟอร์ด ในประเทศออสเตรเลีย กล่าว

“อีกวิธี คือ การขับตามรถคันข้างหน้า (ในระยะห่างที่ปลอดภัย) ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เพื่อที่คุณจะสามารถมองเห็นรถคันข้างหน้า รวมถึงพื้นที่ระหว่างรถคันหน้า อย่าขับตามรถบรรทุกคันใหญ่ๆ ที่บดบังทัศนวิสัยของคุณ นอกจากนั้น การเรียนรู้ที่จะใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ในรถของคุณ ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถช่วยคุณได้”

สิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่อเจอผิวถนนที่ชำรุด

ระวังแอ่งน้ำบนถนน แอ่งน้ำเล็กๆ อาจซ่อนหลุมขนาดใหญ่เอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น หากมีน้ำมากพอ ยางรถยนต์อาจไม่สามารถรีดน้ำออกได้ทันและส่งผลให้รถไม่เกาะถนน

อย่าขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม อย่าพยายามขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วมในระดับที่คุณไม่สามารถเดินผ่านได้ และระวังจุดที่น้ำท่วมขังอยู่บนพื้นถนน เพราะใต้น้ำท่วมขังอาจไม่มีพื้นถนนอยู่ น้ำท่วมอาจพัดเอาพื้นถนนออกไปทั้งหมด และหากน้ำเข้าไปยังวาล์วไอดีและเครื่องยนต์ รถอาจจะดับ และคุณจะติดอยู่ในรถ

ควรระมัดระวังเป็นพิเศษกับถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ระมัดระวังเป็นพิเศษกับเศษซากต่างๆ บนพื้นถนน เช่น ก้อนหิน ที่อาจถูกทำให้เคลื่อนที่โดยสายฝน ซึ่งถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกจะทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น โดยถนนจะถูกกัดเซาะและทำให้เปลี่ยนสภาพไปจนอาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่หรือสไลด์ของหน้าดิน

เตรียมตัวรับมือกับสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น อันตรายบนท้องถนนไม่เพียงมีสาเหตุจากธรรมชาติ เช่น ก้อนหินและกิ่งไม้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนเดินเท้าทั่วไป สัตว์ต่างๆ รวมถึงรถคันอื่นที่ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน “เพื่อหลีกเลี่ยงกับสิ่งเหล่านั้น คุณต้องขับรถให้ช้าพอเพื่อที่จะสามารถสังเกตและมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้ทันที จนสามารถหยุดรถได้สนิท ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น”

เฮปเบิร์น กล่าว “หลักการทั่วไป คือ ระยะห่างจากสิ่งที่เห็น ไม่ควรน้อยกว่าสี่เท่าของระยะหยุดรถของคุณ”

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!