รู้หรือไม่ว่า…ควรล้างรถหน้าฝน เพื่อถนอมสีรถให้สดใสยาวนาน


“เพิ่งล้างรถมา ฝนตกอีกแล้ว ไม่น่าล้างให้เสียตังค์เลย” เสียงบ่นนี้น่าจะออกมาจากปากของคนใช้รถยนต์เป็นประจำ เพราะถ้าวันไหนวิ่งรถเข้าไปจอดคาร์แคร์แล้วขับออกมาเจอฝน ความเบื่อความเซ็งเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน

และยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนด้วย หลายคนคงวางแผนไว้แล้วว่า จะไม่ล้างรถเป็นเวลายาวนานจนกว่าหน้าฝนจะหมดไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด เพราะว่าการล้างรถในช่วงหน้าฝนนั้นจะช่วยถนอมสีรถของคุณ ให้อยู่คงทนและสดใสไปอย่างยาวนาน

เม็ดฝนมาพร้อมสิ่งสกปรก

จากอดีตน้ำฝนถือเป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ สามารถดื่มได้เย็นชื่นใจ แต่เมื่อมีอุตสาหกรรมเข้ามาเรื่อยๆ ก็ถือเป็นสิ่งที่ถูกเตือนมาว่า ไม่ควรดื่มน้ำฝนในเขตที่มีอุตสาหกรรม เพราะเม็ดฝนจะมาพร้อมกับคราบสิ่งสกปรกหรือเม็ดฝนเป็นกรด ทำให้ผิวรถมีความเสี่ยงที่จะเสียหายเพิ่มมากขึ้น หรืออาจจะมีเศษฝุ่น เศษดิน และเศษใบไม้กิ่งไม้ มาเกาะติดตามรถ เมื่อถูกแสงแดดแผดเผาก็จะแห้งเร็วติดผิวรถก็ก่อให้เกิดคราบสกปรกที่ผิวรถได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งยังมีความเสี่ยงที่รถจะเกิดสนิมเกาะล้อแม็กขึ้นได้ด้วย ดังนั้น อาจจะส่งผลเสียให้มีค่าใช้จ่ายในอนาคตได้

การดูแลรักษารถในหน้าฝน

สำหรับวิธีการดูแลรักษารถในช่วงหน้าฝนนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญ (กูรู) แยกวิธีต่างๆ ออกมาเป็น ดังนี้

1.ควรล้างรถอย่างสม่ำเสมอ หลังจากที่รถโดนฝนมา เพื่อป้องกันการเกิดคราบน้ำและสิ่งสกปรกฝังแน่นที่ผิวรถ แต่ถ้าไม่สามารถล้างรถได้ อย่างน้อยควรจะฉีดน้ำล้างน้ำฝนและสิ่งสกปรกออกไปก่อนที่จะแห้งติดผิวรถ

2.หลังจากที่รถโดนฝนมา ควรจอดรถในที่ร่ม ไม่ควรจอดรถตากแดด เนื่องจากแดดจะทำให้น้ำฝนระเหยแห้งเกิดเป็นคราบน้ำฝังแน่นที่ผิวรถ ซึ่งจะยากต่อการล้างทำความสะอาดด้วยตนเอง จนอาจจะต้องนำรถล้างทำความสะอาดที่ร้าน

3.ไม่ควรนำผ้าแห้งเช็ดรถที่โดนฝนมา เพราะสิ่งสกปรกที่ติดมากับฝน เช่น เศษดิน ทราย เศษไม้ ฯลฯ อาจทำให้ผิวรถเกิดเป็นรอยได้ ดังนั้น ควรล้างทำความสะอาดรถ หรือฉีดน้ำล้างน้ำฝนออกก่อนที่จะเช็ดด้วยผ้าแห้ง

4.ไม่ควรทิ้งรถไว้นานจึงทำความสะอาด หลังจากที่รถโดนฝนมา ไม่ควรทิ้งรถไว้เป็นเวลานานจึงล้างทำความสะอาดเพราะอาจมีน้ำฝนที่ตกค้างอยู่ตามซอกรถ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดเป็นสนิมได้

5.ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้ในฤดูฝน เพราะอาจจะมีลมแรง จนทำให้ต้นไม้หักโค่นลงมาโดนรถจนเสียหายได้

อย่างไรก็ดี หากเป็นไปได้ควรจะทำการเคลือบสีรถด้วย เพราะนอกจากจะทำให้รถสวยงามขึ้นแล้ว การเคลือบสียังช่วยป้องกันคราบน้ำเกาะตามผิวรถ และยังช่วยให้ล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ควรรีบนำรถเข้าศูนย์หรือทำสี หากผิวรถมีปัญหา หากผิวรถมีรอยถลอกที่เปิดจนเห็นหน้าเหล็กด้านใน ควรรีบนำรถเข้าศูนย์เพื่อซ่อมแซมหรือทำสีใหม่ เพราะคราบน้ำฝนสามารถติดตามรอยเหล่านี้ หากใช้ไปนานๆ อาจจะทำให้สีบริเวณนั้นปูดและลอกออกเป็นแผ่นๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสนิมได้

สิ่งต้องห้ามหลังฝนตก

ในส่วนของสิ่งต้องห้ามในช่วงหน้าฝนนั้น ก็คือ การไม่ล้างรถเลย เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ผิวรถ ทำให้ล้างออกยาก โดยเฉพาะคราบมูลนกที่ทำให้เกิดรอยด่างที่ผิวตัวรถนั่นเอง หรือทิ้งรถไว้เป็นเวลานานจึงล้างทำความสะอาด เพราะนอกจากจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ผิวรถซึ่งล้างออกยากแล้ว ยังเสี่ยงที่จะทำให้รถเกิดสนิมอีกด้วย และไม่ควรเช็ดรถด้วยผ้าแห้งขณะที่รถเปียกฝน เพราะคราบสกปรกที่ติดมากับน้ำฝน อาจจะทำให้ผิวรถเป็นรอยได้ รวมทั้งการจอดรถที่เปียกฝนกลางแดด เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดแน่นอยู่ที่ผิวรถ ทำให้ล้างออกยาก

เคล็ดลับในการล้างรถหน้าฝน

1.ควรล้างรถทุก 7-10 วัน ในสภาพอากาศที่เปียกชื้น ควรล้างรถทุก 7-10 วัน ด้วยน้ำยาล้างรถที่มีคุณภาพหรืออย่างน้อยที่สุดควรใช้บริการล้างรถอัตโนมัติสัปดาห์ละครั้ง เนื่องจากน้ำฝนมีความเป็นกรด อาจส่งผลต่อสีรถและชิ้นส่วนรถยนต์จนกระทั่งเกิดสนิม ซึ่งจริงๆ แล้ว ฤดูฝนอาจต้องล้างรถบ่อยขึ้นเพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

2.เน้นที่ล้อรถกันสนิม ไม่ว่าจะเลือกวิธีการล้างรถด้วยตัวเองหรือใช้บริการผ่านการล้างรถตามร้านทั่วไป สิ่งสำคัญคือ ต้องมุ่งเน้นไปที่ล้อรถ ซึ่งการล้างรถที่ร้านล้างรถ เขาจะขจัดสิ่งสกปรกและเศษซากจากฐานล้อของรถและส่วนล่างให้อยู่แล้ว แต่การล้างด้วยตัวเองก็สามารถทำได้เช่นกัน

3.อย่าลืมขัดและเคลือบสีรถ (Wax) การขัดและเคลือบสีรถ (Wax) โดยทั่วไป ต้องแว็กซ์รถอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี โดยเฉพาะช่วงจุดเริ่มต้นของแต่ละฤดูกาล และการผลิตภัณฑ์แว็กซ์จะต้องเลือกชนิดที่สามารถใช้ได้ตลอดทั้งฤดูกาล ซึ่งอาจจะต้องยอมจ่ายแพงบ้างเพื่อประสิทธิภาพในการดูแลรักษาสีรถให้สวยสดอยู่เสมอ แต่การเลือกซื้อแว็กซ์ที่ถูกกว่าอาจทำให้เสียเวลาและเสียเงินในการทำซ้ำ อีกทั้งการแว๊กซ์รถควรมุ่งเน้นโดยเฉพาะหลังคา กระโปรงและลำตัวของรถ เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสียูวีนั่นเอง

“เพิ่งล้างรถมา ฝนตกอีกแล้ว ไม่น่าล้างให้เสียตังค์เลย” เสียงบ่นนี้น่าจะออกมาจากปากของคนใช้รถยนต์เป็นประจำ เพราะถ้าวันไหนวิ่งรถเข้าไปจอดคาร์แคร์แล้วขับออกมาเจอฝน ความเบื่อความเซ็งเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน

และยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนด้วย หลายคนคงวางแผนไว้แล้วว่า จะไม่ล้างรถเป็นเวลายาวนานจนกว่าหน้าฝนจะหมดไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด เพราะว่าการล้างรถในช่วงหน้าฝนนั้นจะช่วยถนอมสีรถของคุณ ให้อยู่คงทนและสดใสไปอย่างยาวนาน

เม็ดฝนมาพร้อมสิ่งสกปรก

จากอดีตน้ำฝนถือเป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ สามารถดื่มได้เย็นชื่นใจ แต่เมื่อมีอุตสาหกรรมเข้ามาเรื่อยๆ ก็ถือเป็นสิ่งที่ถูกเตือนมาว่า ไม่ควรดื่มน้ำฝนในเขตที่มีอุตสาหกรรม เพราะเม็ดฝนจะมาพร้อมกับคราบสิ่งสกปรกหรือเม็ดฝนเป็นกรด ทำให้ผิวรถมีความเสี่ยงที่จะเสียหายเพิ่มมากขึ้น หรืออาจจะมีเศษฝุ่น เศษดิน และเศษใบไม้กิ่งไม้ มาเกาะติดตามรถ เมื่อถูกแสงแดดแผดเผาก็จะแห้งเร็วติดผิวรถก็ก่อให้เกิดคราบสกปรกที่ผิวรถได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งยังมีความเสี่ยงที่รถจะเกิดสนิมเกาะล้อแม็กขึ้นได้ด้วย ดังนั้น อาจจะส่งผลเสียให้มีค่าใช้จ่ายในอนาคตได้

การดูแลรักษารถในหน้าฝน

สำหรับวิธีการดูแลรักษารถในช่วงหน้าฝนนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญ (กูรู) แยกวิธีต่างๆ ออกมาเป็น ดังนี้

1.ควรล้างรถอย่างสม่ำเสมอ หลังจากที่รถโดนฝนมา เพื่อป้องกันการเกิดคราบน้ำและสิ่งสกปรกฝังแน่นที่ผิวรถ แต่ถ้าไม่สามารถล้างรถได้ อย่างน้อยควรจะฉีดน้ำล้างน้ำฝนและสิ่งสกปรกออกไปก่อนที่จะแห้งติดผิวรถ

2.หลังจากที่รถโดนฝนมา ควรจอดรถในที่ร่ม ไม่ควรจอดรถตากแดด เนื่องจากแดดจะทำให้น้ำฝนระเหยแห้งเกิดเป็นคราบน้ำฝังแน่นที่ผิวรถ ซึ่งจะยากต่อการล้างทำความสะอาดด้วยตนเอง จนอาจจะต้องนำรถล้างทำความสะอาดที่ร้าน

3.ไม่ควรนำผ้าแห้งเช็ดรถที่โดนฝนมา เพราะสิ่งสกปรกที่ติดมากับฝน เช่น เศษดิน ทราย เศษไม้ ฯลฯ อาจทำให้ผิวรถเกิดเป็นรอยได้ ดังนั้น ควรล้างทำความสะอาดรถ หรือฉีดน้ำล้างน้ำฝนออกก่อนที่จะเช็ดด้วยผ้าแห้ง

4.ไม่ควรทิ้งรถไว้นานจึงทำความสะอาด หลังจากที่รถโดนฝนมา ไม่ควรทิ้งรถไว้เป็นเวลานานจึงล้างทำความสะอาดเพราะอาจมีน้ำฝนที่ตกค้างอยู่ตามซอกรถ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดเป็นสนิมได้

5.ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้ในฤดูฝน เพราะอาจจะมีลมแรง จนทำให้ต้นไม้หักโค่นลงมาโดนรถจนเสียหายได้

อย่างไรก็ดี หากเป็นไปได้ควรจะทำการเคลือบสีรถด้วย เพราะนอกจากจะทำให้รถสวยงามขึ้นแล้ว การเคลือบสียังช่วยป้องกันคราบน้ำเกาะตามผิวรถ และยังช่วยให้ล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ควรรีบนำรถเข้าศูนย์หรือทำสี หากผิวรถมีปัญหา หากผิวรถมีรอยถลอกที่เปิดจนเห็นหน้าเหล็กด้านใน ควรรีบนำรถเข้าศูนย์เพื่อซ่อมแซมหรือทำสีใหม่ เพราะคราบน้ำฝนสามารถติดตามรอยเหล่านี้ หากใช้ไปนานๆ อาจจะทำให้สีบริเวณนั้นปูดและลอกออกเป็นแผ่นๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสนิมได้

สิ่งต้องห้ามหลังฝนตก

ในส่วนของสิ่งต้องห้ามในช่วงหน้าฝนนั้น ก็คือ การไม่ล้างรถเลย เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ผิวรถ ทำให้ล้างออกยาก โดยเฉพาะคราบมูลนกที่ทำให้เกิดรอยด่างที่ผิวตัวรถนั่นเอง หรือทิ้งรถไว้เป็นเวลานานจึงล้างทำความสะอาด เพราะนอกจากจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ผิวรถซึ่งล้างออกยากแล้ว ยังเสี่ยงที่จะทำให้รถเกิดสนิมอีกด้วย และไม่ควรเช็ดรถด้วยผ้าแห้งขณะที่รถเปียกฝน เพราะคราบสกปรกที่ติดมากับน้ำฝน อาจจะทำให้ผิวรถเป็นรอยได้ รวมทั้งการจอดรถที่เปียกฝนกลางแดด เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดแน่นอยู่ที่ผิวรถ ทำให้ล้างออกยาก

เคล็ดลับในการล้างรถหน้าฝน

1.ควรล้างรถทุก 7-10 วัน ในสภาพอากาศที่เปียกชื้น ควรล้างรถทุก 7-10 วัน ด้วยน้ำยาล้างรถที่มีคุณภาพหรืออย่างน้อยที่สุดควรใช้บริการล้างรถอัตโนมัติสัปดาห์ละครั้ง เนื่องจากน้ำฝนมีความเป็นกรด อาจส่งผลต่อสีรถและชิ้นส่วนรถยนต์จนกระทั่งเกิดสนิม ซึ่งจริงๆ แล้ว ฤดูฝนอาจต้องล้างรถบ่อยขึ้นเพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

2.เน้นที่ล้อรถกันสนิม ไม่ว่าจะเลือกวิธีการล้างรถด้วยตัวเองหรือใช้บริการผ่านการล้างรถตามร้านทั่วไป สิ่งสำคัญคือ ต้องมุ่งเน้นไปที่ล้อรถ ซึ่งการล้างรถที่ร้านล้างรถ เขาจะขจัดสิ่งสกปรกและเศษซากจากฐานล้อของรถและส่วนล่างให้อยู่แล้ว แต่การล้างด้วยตัวเองก็สามารถทำได้เช่นกัน

3.อย่าลืมขัดและเคลือบสีรถ (Wax) การขัดและเคลือบสีรถ (Wax) โดยทั่วไป ต้องแว็กซ์รถอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี โดยเฉพาะช่วงจุดเริ่มต้นของแต่ละฤดูกาล และการผลิตภัณฑ์แว็กซ์จะต้องเลือกชนิดที่สามารถใช้ได้ตลอดทั้งฤดูกาล ซึ่งอาจจะต้องยอมจ่ายแพงบ้างเพื่อประสิทธิภาพในการดูแลรักษาสีรถให้สวยสดอยู่เสมอ แต่การเลือกซื้อแว็กซ์ที่ถูกกว่าอาจทำให้เสียเวลาและเสียเงินในการทำซ้ำ อีกทั้งการแว๊กซ์รถควรมุ่งเน้นโดยเฉพาะหลังคา กระโปรงและลำตัวของรถ เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสียูวีนั่นเอง

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!