เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 3 Mercedes-Benz S 560 e สุดยอดรถยนต์หรูแห่งยุค รุ่นประกอบในประเทศ ในงานมอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 40


บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด มุ่งมั่นนำเสนอยนตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เจนเนอเรชั่นที่ 3 ภายใต้แบรนด์ EQ อย่าง “Mercedes-Benz S 560 e” ซาลูนหรูรุ่นประกอบในประเทศที่สามารถขับเคลื่อนโดยใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลกว่าเจนเนอเรชั่นที่แล้วสูงสุดถึง 60%

จากการผสานกำลังของเครื่องยนต์เบนซินวี 6 ที่มีกำลัง 367 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบอีคิวพาวเวอร์ที่ให้กำลัง 90 กิโลวัตต์ พร้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบผสมที่ต่ำกว่า 50 กรัม/กม. โดยภายในงานยังมีการขนทัพยนตรกรรมหรูกว่า 29 คัน ครบครันในทุกเซ็กเมนต์มาจัดแสดงภายในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 40” ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2562 นี้ ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี

มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มทุกแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางแห่งอนาคต และการใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานไว้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานไปจนถึงปีพ.ศ. 2568 ซึ่งนับตั้งแต่การเปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปีพ.ศ. 2559 ทางบริษัทฯ ได้แนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ภายใต้แบรนด์ EQ มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เรากลายเป็นแบรนด์ผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมไฟฟ้า ที่มีการนำเสนอรุ่นรถยนต์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างครบครันมากที่สุด

โดยภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 40 นี้ ทางบริษัทฯ ได้เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 3 อย่าง “Mercedes-Benz S 560 e” ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งผู้นำ ที่มาพร้อมกับมิติใหม่แห่งสุนทรียะในการขับขี่ ทั้งในด้านนวัตกรรม ความสะดวกสบาย ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Package เทคโนโลยี ความปลอดภัยอันล้ำสมัย และความประหยัดน้ำมัน”

“เครื่องยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริด เป็นเทคโนโลยีสำคัญต่อแนวคิดการใช้รถยนต์ที่ไม่ก่อให้เกิดไอเสีย ซึ่งเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดถือเป็นเครื่องยนต์ที่ผสานข้อดีของเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน กล่าวคือ ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ในเขตเมืองได้โดยใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และสามารถเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเมื่อขับขี่ทางไกล โดยเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจะประหยัดพลังงานกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน เนื่องจากเครื่องยนต์ประเภทนี้จะสามารถดึงพลังงานเมื่อผู้ขับขี่เหยียบแป้นเบรกกลับมาสู่มอเตอร์ไฟฟ้าได้ และช่วยให้ผู้ขับขี่เดินทางได้ไกลขึ้นกว่าเดิมโดยใช้กำลังจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งขณะนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาระบบเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดตามแนวคิดอีคิวพาวเวอร์” มร.โรลันด์ กล่าวเพิ่มเติม

มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “Mercedes-Benz S 560 e โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์อันหรูหรา สง่างาม เติมเต็มประสบการณ์แห่งการขับขี่สำหรับผู้นำให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมกับสมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซินวี 6 ขนาด 3.0 ลิตร Twin turbocharging ที่ให้พละกำลัง 367 แรงม้า ซึ่งเมื่อผสานพลังกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า จะทำให้ได้ System Output สูงสุด 476 แรงม้า นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังได้รับการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่ประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นที่แล้วสูงสุดถึง 60% และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบผสมที่ต่ำกว่า 50 กรัม/กม. เท่านั้น”

มร. ฟรังค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 40 ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้จัดพื้นที่แสดงรถยนต์ออกเป็นจำนวน 6 โซนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในกลุ่ม Compact Car, Contemporary Luxury Sedan & Dream Car, SUV แบรนด์เทคโนโลยี EQ รวมถึงแบรนด์รถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูง อย่าง Mercedes-AMG และแบรนด์อัลตร้า ลักชัวรี อย่าง Mercedes-Maybach มาให้กลุ่มลูกค้าได้เห็นถึงจุดเด่นและความแตกต่างของรถยนต์ในแต่ละกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น”

“และนอกจากยนตรกรรมหรูที่เรานำเสนอในครั้งนี้แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังมีความภาคภูมิใจที่จะนำเสนอบริการ ‘Mercedes me connect’ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการภายใต้แบรนด์ ‘Mercedes me’ ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย รองรับทั้งสมาร์ทโฟนในระบบ Android และ iOS มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้า รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ รวมถึงการบริการอื่นๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเทคโนโลยีนี้ มาพร้อมฟังก์ชันอันโดดเด่นมากมาย อาทิ

Vehicle status ที่จะบอกสถานะความพร้อมของอะไหล่รถยนต์ และคอยประสานงานแจ้งเตือนทั้งทางลูกค้าและโชว์รูม, Accident Recovery and break down management ปุ่มรูปโทรศัพท์ เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้ว ทั้งในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เหตุฉุกเฉิน รถเสีย หรือสอบถามข้อมูลทั่วไปผ่านคอลเซ็นเตอร์, Remote Service ฟังก์ชันที่ช่วยให้การใช้รถของคุณสะดวกสบายมากขึ้น โดยคุณสามารถเชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศทำความเย็นล่วงหน้า สตาร์ทรถ หรือแม้แต่เปิด-ปิดประตูรถจากระยะไกล โดยภายในงาน เราจะมีการจัดแสดงการทำงานของแอปพลิเคชั่นไว้ในรถยนต์ E-Class Coupe ให้ทุกท่านได้เห็นถึงความก้าวล้ำของแอปพลิเคชั่นนี้ด้วย” มร.ฟรังค์ กล่าว

นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้เตรียมขนขบวนสุดยอดยนตรกรรมรวมทั้งสิ้นกว่า 29 คัน ครบครันในทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็น Compact Car, Contemporary Luxury Sedan & Dream Car และ SUV อาทิ CLA 200, CLS 300 d AMG Premium, GLC 250 d 4MATIC, Mercedes-AMG E 53 4MATIC+ Coup? และ Mercedes-Maybach S 560 พร้อมจุดบริการลูกค้า และบริการหลังการขายเพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงข้อเสนอพิเศษ อาทิ iPhone XS Max 256 GB มูลค่า 49,900 บาท จำนวนจำกัด สำหรับลูกค้าที่รับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ 10 รุ่นที่ร่วมรายการ อย่าง GLA 200 Urban, GLA 250 AMG Dynamic, E 350 e Avantgarde, E 350 e Exclusive, E 350 e AMG Dynamic, GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD, GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic, GLC 250 d 4MATIC Coup? AMG Plus, S 350 d Exclusive และ S 350 d AMG Dynamic ในระหว่างวันที่ 7 มีนาคม – 30 เมษายน 2562

รวมถึงข้อเสนอพิเศษร่วมกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง อาทิ อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับสัญญาเช่าซื้อระยะเวลา 48 เดือน เงินดาวน์ขั้นต่ำ 25% สำหรับลูกค้าที่ออกรถยนต์รุ่น GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD หรือ GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic

อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับสัญญาเช่าซื้อระยะเวลา 48 เดือน เงินดาวน์ขั้นต่ำ 25% สำหรับลูกค้าที่ออกรถยนต์ E 350 e Avantgarde, E 350 e Exclusive และ E 350 e AMG Dynamic พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protection เป็นระยะเวลา 1 ปี และแพ็คเกจ MBSP Excellent นาน 4 ปี

แคมเปญส่งเสริมการขายสำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาแบบมายสตาร์ (mySTAR) และเช่าทางการเงิน (Finance Lease) กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง จะได้รับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protection เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยแคมเปญส่งเสริมการขายข้างต้นสำหรับลูกค้าที่รับมอบรถยนต์และเริ่มต้นสัญญาภายในวันที่ 30 เมษายน 2562

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ Mercedes-Benz S-Class

ดีไซน์ภายนอกของ The S 560 e AMG Premium หรูหราทันสมัยด้วยกระจังหน้าแบบ 3 ก้าน มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED เทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ยามค่ำคืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยสูงสุด พร้อมฟังก์ชัน ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความสว่างและความยาวของลำแสงไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตรโดยอัตโนมัติ พร้อมเสริมความสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยกันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้างจาก AMG และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว สีไทเทเนี่ยมเกรย์

ดีไซน์ภายในและห้องโดยสาร มอบที่สุดแห่งความสะดวกสบาย ด้วยระบบ ENERGIZING Comfort Control เทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายร่างกายและอารมณ์ในระหว่างการเดินทาง เพียงแค่การ ‘กดปุ่ม’ เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบฉีดน้ำหอม ระบบฟอกอากาศ ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Premium Ambient Light) เสียงดนตรี ฟังก์ชันระบายอากาศและอุ่นที่นั่ง พร้อมระบบนวดสำหรับเบาะคู่หลัง โดยผู้โดยสารสามารถเลือกโปรแกรมผ่อนคลายได้ 4 แบบ คือ Refresh, Vitality, Warmth และ Joy โดย The S 560 e AMG Premium จะมาพร้อมกับเบาะนั่งคู่หน้าและคู่หลังหุ้มหนัง Exclusive nappa ที่สามารถปรับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังฝั่งซ้ายให้เอนนอนได้ถึง 43.5 องศา พร้อมที่รองขาแบบปรับระดับได้ ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย พร้อม Apple Carplay? และ Android Auto

สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย อาทิ ระบบ Active Distance Assist DISTRONIC ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกระจังหน้า และกล้อง STEREO CAMERA ที่ติดตั้งอยู่บนกระจกบังลมหน้า ในการคำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า ที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้นโดยการเพิ่มและลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติ

ระบบ Active Blind Spot Assist เทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ที่อยู่ในจุดอับสายตาในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนช่องจราจร

ระบบ Active Lane Keeping Assist ระบบที่ช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนช่องจราจรโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งระบบนี้จะทำงานโดยการใช้สัญญาณเรดาร์ ในการตรวจจับช่องจราจรและรถยนต์ที่อยู่ในช่องจราจรอื่น หากระบบตรวจพบความเสี่ยงที่จะชนกับรถยนต์คันอื่น ระบบจะช่วยดึงรถกลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติด้วยการเบรกล้อฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับรถยนต์ที่ตรวจจับได้

ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE PLUS ระบบนี้ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ตรวจจับรถที่วิ่งอยู่ด้านหลัง หากเรดาร์ตรวจพบรถยนต์จากด้านหลังที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ไฟกะพริบฉุกเฉินจะกะพริบด้วยความถี่ที่มากกว่าปกติเพื่อเตือนผู้ขับขี่รถคันหลัง หลังจากนั้นระบบจะรัดเข็มขัดให้กระชับขึ้น ระบบเบรกจะล็อคล้อทั้งสี่ไว้ให้อยู่กับที่ พร้อมปรับพนักพิงศีรษะให้ชิดกับศีรษะ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บบริเวณต้นคอ หากมีการชนท้ายเกิดขึ้น

ระบบ Active Braking Assist และฟังก์ชัน Cross-Traffic เทคโนโลยีที่ช่วยหลีกเลี่ยงการชนกับรถยนต์คันอื่น หรือคนเดินถนนในบริเวณทางแยก โดยสัญญาณเรดาร์ที่ติดอยู่บริเวณกันชนด้านหน้า และกล้อง MPC จะตรวจจับเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการชน และจะส่งเสียงเตือนคุณให้เบรก หากคุณตอบสนอง ระบบจะช่วยเพิ่มกำลังเบรกไปจนเต็มประสิทธิภาพ แต่หากไม่มีการตอบสนอง ระบบจะช่วยเบรกอัตโนมัติตามแต่ละสถานการณ์ นอกจากนี้ในกรณีที่ระบบไม่สามารถหลบหลีกวัตถุด้านหน้าได้ทัน ระบบจะช่วยลดความเร็วลง เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ

ระบบ Evasive Steering Assist ระบบช่วยหลบหลีกการชนจากด้านหน้า โดยสัญญาณเรดาร์และกล้อง STEREO CAMERA ของรถยนต์จะช่วยตรวจจับคนและสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตราย โดยระบบจะเตือนให้คุณตอบสนองและหักหลบสิ่งกีดขวางด้วยตนเองเท่านั้น พร้อมช่วยส่งแรงบิดที่เหมาะสมในการหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบ Active Emergency Stop Assist ในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่มีการตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเวลานาน เช่น คนขับหลับในหรือหมดสติ และระบบตรวจจับได้ว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของพวงมาลัยเลย ระบบจะส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้ผู้ขับขี่กลับมาประคองพวงมาลัยรถ แต่ถ้ายังไม่มีการตอบสนองจากผู้ขับขี่ ระบบจะค่อยๆ หยุดรถอัตโนมัติในช่องจราจรนั้น พร้อมกับเปิดระบบไฟกระพริบฉุกเฉิน

ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) ทั้งการจอดแบบขนานและการจอดแบบเข้าซอง โดยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา จะแสดงภาพบริเวณรอบคันรถในจอแสดงผล รวมถึงภาพจากมุมสูง จึงช่วยให้เห็นสิ่งกีดขวางรอบคันรถ ทั้งนี้ระบบจะส่งสัญญาณเตือนทั้งภาพและเสียง ในขณะที่กำลังจอดรถด้วยความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม. โดยเป็นการประสานการทำงานของระบบ Active Steering ระบบ Speed Control และระบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ แม้ในที่จำกัดหรือในกรณีที่ต้องขยับรถหลายครั้ง พร้อมเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบ Drive Away Assist ที่ส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจจับความเสี่ยงต่อการชนในขณะที่เหยียบคันเร่งหรือเบรกสลับกัน หรือเมื่อผู้ขับขี่เข้าเกียร์ไม่ถูกต้อง

Mercedes-Benz S-Class ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่ประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นก่อนหน้าได้สูงสุดถึง 60% เมอร์เซเดส-เบนซ์ใช้เซลล์แบตเตอรี่รุ่นใหม่ซึ่งเป็นส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ทั้งนี้ ระบบแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ตระกูลเอส-คลาสรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ผลิตโดยบริษัทดอยช์ แอกคิวโมทีฟ (DeutscheACCUMOTIVE) บริษัทลูกของกลุ่มบริษัทเดมเลอร์ทั้งหมด โดยขนาดของแบตเตอรี่นั้นมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้า และประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิมประมาณ 50% หากใช้เครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์บอกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์และใช้กำลังไฟฟ้าสูงสุด ผู้เป็นเจ้าของจะประจุไฟฟ้าจากความจุ 10% จนเต็มได้ในเวลาประมาณ 90 นาที (ในสภาวะปกติ) และประมาณ 5 ชั่วโมงหากประจุไฟฟ้าโดยใช้กำลังไฟฟ้าจากเต้ารับทั่วไปตามบ้าน

Mercedes-Benz S 560 e AMG Premium มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ (9G-TRONIC) ที่ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงลงกว่าเดิมถึง 6.5% อีกทั้งยังช่วยให้การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวลมากขึ้น ลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้สามารถลดระดับเกียร์ลงได้หลายระดับในกรณีที่ต้องการเร่งแซงอย่างรวดเร็ว โดย S 560 e นั้น สามารถรักษาระดับของระบบช่วงล่างให้มีความสมดุลย์ได้ตลอดการเดินทางแม้ว่าจะมีผู้โดยสารหรือสัมภาระจำนวนมาก เนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้มีระบบปรับระดับช่วงล่างที่ทำงานโดยใช้กลไกการอัดหรือระบายอากาศ ทั้งนี้ ระบบสามารถยกความสูงของตัวรถเพิ่มได้ 30 มิลลิเมตร เพื่อให้ตัวรถสูงพ้นจากพื้นถนนมากเพียงพอ และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบจะปรับลดความสูงของตัวรถลง 20 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้รถลู่ลมยิ่งขึ้นและเสริมเสถียรภาพในการขับขี่

The S 560 e AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ เครื่องยนต์เบนซิน V6 พร้อมเทอร์โบคู่และอินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 2,996 ซีซี ให้กำลัง 367 แรงม้า ที่ 5,500-6,000 รแบ ราคา 6,999,000 บาท

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด มุ่งมั่นนำเสนอยนตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เจนเนอเรชั่นที่ 3 ภายใต้แบรนด์ EQ อย่าง “Mercedes-Benz S 560 e” ซาลูนหรูรุ่นประกอบในประเทศที่สามารถขับเคลื่อนโดยใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลกว่าเจนเนอเรชั่นที่แล้วสูงสุดถึง 60%

จากการผสานกำลังของเครื่องยนต์เบนซินวี 6 ที่มีกำลัง 367 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบอีคิวพาวเวอร์ที่ให้กำลัง 90 กิโลวัตต์ พร้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบผสมที่ต่ำกว่า 50 กรัม/กม. โดยภายในงานยังมีการขนทัพยนตรกรรมหรูกว่า 29 คัน ครบครันในทุกเซ็กเมนต์มาจัดแสดงภายในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 40” ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2562 นี้ ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี

มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มทุกแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางแห่งอนาคต และการใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานไว้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานไปจนถึงปีพ.ศ. 2568 ซึ่งนับตั้งแต่การเปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปีพ.ศ. 2559 ทางบริษัทฯ ได้แนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ภายใต้แบรนด์ EQ มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เรากลายเป็นแบรนด์ผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมไฟฟ้า ที่มีการนำเสนอรุ่นรถยนต์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างครบครันมากที่สุด

โดยภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 40 นี้ ทางบริษัทฯ ได้เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 3 อย่าง “Mercedes-Benz S 560 e” ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งผู้นำ ที่มาพร้อมกับมิติใหม่แห่งสุนทรียะในการขับขี่ ทั้งในด้านนวัตกรรม ความสะดวกสบาย ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Package เทคโนโลยี ความปลอดภัยอันล้ำสมัย และความประหยัดน้ำมัน”

“เครื่องยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริด เป็นเทคโนโลยีสำคัญต่อแนวคิดการใช้รถยนต์ที่ไม่ก่อให้เกิดไอเสีย ซึ่งเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดถือเป็นเครื่องยนต์ที่ผสานข้อดีของเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน กล่าวคือ ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ในเขตเมืองได้โดยใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และสามารถเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเมื่อขับขี่ทางไกล โดยเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจะประหยัดพลังงานกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน เนื่องจากเครื่องยนต์ประเภทนี้จะสามารถดึงพลังงานเมื่อผู้ขับขี่เหยียบแป้นเบรกกลับมาสู่มอเตอร์ไฟฟ้าได้ และช่วยให้ผู้ขับขี่เดินทางได้ไกลขึ้นกว่าเดิมโดยใช้กำลังจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งขณะนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาระบบเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดตามแนวคิดอีคิวพาวเวอร์” มร.โรลันด์ กล่าวเพิ่มเติม

มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “Mercedes-Benz S 560 e โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์อันหรูหรา สง่างาม เติมเต็มประสบการณ์แห่งการขับขี่สำหรับผู้นำให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมกับสมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซินวี 6 ขนาด 3.0 ลิตร Twin turbocharging ที่ให้พละกำลัง 367 แรงม้า ซึ่งเมื่อผสานพลังกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า จะทำให้ได้ System Output สูงสุด 476 แรงม้า นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังได้รับการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่ประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นที่แล้วสูงสุดถึง 60% และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบผสมที่ต่ำกว่า 50 กรัม/กม. เท่านั้น”

มร. ฟรังค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 40 ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้จัดพื้นที่แสดงรถยนต์ออกเป็นจำนวน 6 โซนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในกลุ่ม Compact Car, Contemporary Luxury Sedan & Dream Car, SUV แบรนด์เทคโนโลยี EQ รวมถึงแบรนด์รถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูง อย่าง Mercedes-AMG และแบรนด์อัลตร้า ลักชัวรี อย่าง Mercedes-Maybach มาให้กลุ่มลูกค้าได้เห็นถึงจุดเด่นและความแตกต่างของรถยนต์ในแต่ละกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น”

“และนอกจากยนตรกรรมหรูที่เรานำเสนอในครั้งนี้แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังมีความภาคภูมิใจที่จะนำเสนอบริการ ‘Mercedes me connect’ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการภายใต้แบรนด์ ‘Mercedes me’ ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย รองรับทั้งสมาร์ทโฟนในระบบ Android และ iOS มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้า รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ รวมถึงการบริการอื่นๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเทคโนโลยีนี้ มาพร้อมฟังก์ชันอันโดดเด่นมากมาย อาทิ

Vehicle status ที่จะบอกสถานะความพร้อมของอะไหล่รถยนต์ และคอยประสานงานแจ้งเตือนทั้งทางลูกค้าและโชว์รูม, Accident Recovery and break down management ปุ่มรูปโทรศัพท์ เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้ว ทั้งในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เหตุฉุกเฉิน รถเสีย หรือสอบถามข้อมูลทั่วไปผ่านคอลเซ็นเตอร์, Remote Service ฟังก์ชันที่ช่วยให้การใช้รถของคุณสะดวกสบายมากขึ้น โดยคุณสามารถเชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศทำความเย็นล่วงหน้า สตาร์ทรถ หรือแม้แต่เปิด-ปิดประตูรถจากระยะไกล โดยภายในงาน เราจะมีการจัดแสดงการทำงานของแอปพลิเคชั่นไว้ในรถยนต์ E-Class Coupe ให้ทุกท่านได้เห็นถึงความก้าวล้ำของแอปพลิเคชั่นนี้ด้วย” มร.ฟรังค์ กล่าว

นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้เตรียมขนขบวนสุดยอดยนตรกรรมรวมทั้งสิ้นกว่า 29 คัน ครบครันในทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็น Compact Car, Contemporary Luxury Sedan & Dream Car และ SUV อาทิ CLA 200, CLS 300 d AMG Premium, GLC 250 d 4MATIC, Mercedes-AMG E 53 4MATIC+ Coup? และ Mercedes-Maybach S 560 พร้อมจุดบริการลูกค้า และบริการหลังการขายเพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงข้อเสนอพิเศษ อาทิ iPhone XS Max 256 GB มูลค่า 49,900 บาท จำนวนจำกัด สำหรับลูกค้าที่รับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ 10 รุ่นที่ร่วมรายการ อย่าง GLA 200 Urban, GLA 250 AMG Dynamic, E 350 e Avantgarde, E 350 e Exclusive, E 350 e AMG Dynamic, GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD, GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic, GLC 250 d 4MATIC Coup? AMG Plus, S 350 d Exclusive และ S 350 d AMG Dynamic ในระหว่างวันที่ 7 มีนาคม – 30 เมษายน 2562

รวมถึงข้อเสนอพิเศษร่วมกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง อาทิ อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับสัญญาเช่าซื้อระยะเวลา 48 เดือน เงินดาวน์ขั้นต่ำ 25% สำหรับลูกค้าที่ออกรถยนต์รุ่น GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD หรือ GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic

อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับสัญญาเช่าซื้อระยะเวลา 48 เดือน เงินดาวน์ขั้นต่ำ 25% สำหรับลูกค้าที่ออกรถยนต์ E 350 e Avantgarde, E 350 e Exclusive และ E 350 e AMG Dynamic พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protection เป็นระยะเวลา 1 ปี และแพ็คเกจ MBSP Excellent นาน 4 ปี

แคมเปญส่งเสริมการขายสำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาแบบมายสตาร์ (mySTAR) และเช่าทางการเงิน (Finance Lease) กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง จะได้รับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protection เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยแคมเปญส่งเสริมการขายข้างต้นสำหรับลูกค้าที่รับมอบรถยนต์และเริ่มต้นสัญญาภายในวันที่ 30 เมษายน 2562

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ Mercedes-Benz S-Class

ดีไซน์ภายนอกของ The S 560 e AMG Premium หรูหราทันสมัยด้วยกระจังหน้าแบบ 3 ก้าน มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED เทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ยามค่ำคืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยสูงสุด พร้อมฟังก์ชัน ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความสว่างและความยาวของลำแสงไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตรโดยอัตโนมัติ พร้อมเสริมความสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยกันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้างจาก AMG และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว สีไทเทเนี่ยมเกรย์

ดีไซน์ภายในและห้องโดยสาร มอบที่สุดแห่งความสะดวกสบาย ด้วยระบบ ENERGIZING Comfort Control เทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายร่างกายและอารมณ์ในระหว่างการเดินทาง เพียงแค่การ ‘กดปุ่ม’ เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบฉีดน้ำหอม ระบบฟอกอากาศ ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Premium Ambient Light) เสียงดนตรี ฟังก์ชันระบายอากาศและอุ่นที่นั่ง พร้อมระบบนวดสำหรับเบาะคู่หลัง โดยผู้โดยสารสามารถเลือกโปรแกรมผ่อนคลายได้ 4 แบบ คือ Refresh, Vitality, Warmth และ Joy โดย The S 560 e AMG Premium จะมาพร้อมกับเบาะนั่งคู่หน้าและคู่หลังหุ้มหนัง Exclusive nappa ที่สามารถปรับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังฝั่งซ้ายให้เอนนอนได้ถึง 43.5 องศา พร้อมที่รองขาแบบปรับระดับได้ ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย พร้อม Apple Carplay? และ Android Auto

สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย อาทิ ระบบ Active Distance Assist DISTRONIC ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกระจังหน้า และกล้อง STEREO CAMERA ที่ติดตั้งอยู่บนกระจกบังลมหน้า ในการคำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า ที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้นโดยการเพิ่มและลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติ

ระบบ Active Blind Spot Assist เทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ที่อยู่ในจุดอับสายตาในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนช่องจราจร

ระบบ Active Lane Keeping Assist ระบบที่ช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนช่องจราจรโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งระบบนี้จะทำงานโดยการใช้สัญญาณเรดาร์ ในการตรวจจับช่องจราจรและรถยนต์ที่อยู่ในช่องจราจรอื่น หากระบบตรวจพบความเสี่ยงที่จะชนกับรถยนต์คันอื่น ระบบจะช่วยดึงรถกลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติด้วยการเบรกล้อฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับรถยนต์ที่ตรวจจับได้

ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE PLUS ระบบนี้ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ตรวจจับรถที่วิ่งอยู่ด้านหลัง หากเรดาร์ตรวจพบรถยนต์จากด้านหลังที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ไฟกะพริบฉุกเฉินจะกะพริบด้วยความถี่ที่มากกว่าปกติเพื่อเตือนผู้ขับขี่รถคันหลัง หลังจากนั้นระบบจะรัดเข็มขัดให้กระชับขึ้น ระบบเบรกจะล็อคล้อทั้งสี่ไว้ให้อยู่กับที่ พร้อมปรับพนักพิงศีรษะให้ชิดกับศีรษะ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บบริเวณต้นคอ หากมีการชนท้ายเกิดขึ้น

ระบบ Active Braking Assist และฟังก์ชัน Cross-Traffic เทคโนโลยีที่ช่วยหลีกเลี่ยงการชนกับรถยนต์คันอื่น หรือคนเดินถนนในบริเวณทางแยก โดยสัญญาณเรดาร์ที่ติดอยู่บริเวณกันชนด้านหน้า และกล้อง MPC จะตรวจจับเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการชน และจะส่งเสียงเตือนคุณให้เบรก หากคุณตอบสนอง ระบบจะช่วยเพิ่มกำลังเบรกไปจนเต็มประสิทธิภาพ แต่หากไม่มีการตอบสนอง ระบบจะช่วยเบรกอัตโนมัติตามแต่ละสถานการณ์ นอกจากนี้ในกรณีที่ระบบไม่สามารถหลบหลีกวัตถุด้านหน้าได้ทัน ระบบจะช่วยลดความเร็วลง เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ

ระบบ Evasive Steering Assist ระบบช่วยหลบหลีกการชนจากด้านหน้า โดยสัญญาณเรดาร์และกล้อง STEREO CAMERA ของรถยนต์จะช่วยตรวจจับคนและสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตราย โดยระบบจะเตือนให้คุณตอบสนองและหักหลบสิ่งกีดขวางด้วยตนเองเท่านั้น พร้อมช่วยส่งแรงบิดที่เหมาะสมในการหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบ Active Emergency Stop Assist ในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่มีการตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเวลานาน เช่น คนขับหลับในหรือหมดสติ และระบบตรวจจับได้ว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของพวงมาลัยเลย ระบบจะส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้ผู้ขับขี่กลับมาประคองพวงมาลัยรถ แต่ถ้ายังไม่มีการตอบสนองจากผู้ขับขี่ ระบบจะค่อยๆ หยุดรถอัตโนมัติในช่องจราจรนั้น พร้อมกับเปิดระบบไฟกระพริบฉุกเฉิน

ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) ทั้งการจอดแบบขนานและการจอดแบบเข้าซอง โดยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา จะแสดงภาพบริเวณรอบคันรถในจอแสดงผล รวมถึงภาพจากมุมสูง จึงช่วยให้เห็นสิ่งกีดขวางรอบคันรถ ทั้งนี้ระบบจะส่งสัญญาณเตือนทั้งภาพและเสียง ในขณะที่กำลังจอดรถด้วยความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม. โดยเป็นการประสานการทำงานของระบบ Active Steering ระบบ Speed Control และระบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ แม้ในที่จำกัดหรือในกรณีที่ต้องขยับรถหลายครั้ง พร้อมเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบ Drive Away Assist ที่ส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจจับความเสี่ยงต่อการชนในขณะที่เหยียบคันเร่งหรือเบรกสลับกัน หรือเมื่อผู้ขับขี่เข้าเกียร์ไม่ถูกต้อง

Mercedes-Benz S-Class ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่ประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นก่อนหน้าได้สูงสุดถึง 60% เมอร์เซเดส-เบนซ์ใช้เซลล์แบตเตอรี่รุ่นใหม่ซึ่งเป็นส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ทั้งนี้ ระบบแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ตระกูลเอส-คลาสรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ผลิตโดยบริษัทดอยช์ แอกคิวโมทีฟ (DeutscheACCUMOTIVE) บริษัทลูกของกลุ่มบริษัทเดมเลอร์ทั้งหมด โดยขนาดของแบตเตอรี่นั้นมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้า และประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิมประมาณ 50% หากใช้เครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์บอกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์และใช้กำลังไฟฟ้าสูงสุด ผู้เป็นเจ้าของจะประจุไฟฟ้าจากความจุ 10% จนเต็มได้ในเวลาประมาณ 90 นาที (ในสภาวะปกติ) และประมาณ 5 ชั่วโมงหากประจุไฟฟ้าโดยใช้กำลังไฟฟ้าจากเต้ารับทั่วไปตามบ้าน

Mercedes-Benz S 560 e AMG Premium มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ (9G-TRONIC) ที่ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงลงกว่าเดิมถึง 6.5% อีกทั้งยังช่วยให้การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวลมากขึ้น ลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้สามารถลดระดับเกียร์ลงได้หลายระดับในกรณีที่ต้องการเร่งแซงอย่างรวดเร็ว โดย S 560 e นั้น สามารถรักษาระดับของระบบช่วงล่างให้มีความสมดุลย์ได้ตลอดการเดินทางแม้ว่าจะมีผู้โดยสารหรือสัมภาระจำนวนมาก เนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้มีระบบปรับระดับช่วงล่างที่ทำงานโดยใช้กลไกการอัดหรือระบายอากาศ ทั้งนี้ ระบบสามารถยกความสูงของตัวรถเพิ่มได้ 30 มิลลิเมตร เพื่อให้ตัวรถสูงพ้นจากพื้นถนนมากเพียงพอ และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบจะปรับลดความสูงของตัวรถลง 20 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้รถลู่ลมยิ่งขึ้นและเสริมเสถียรภาพในการขับขี่

The S 560 e AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ เครื่องยนต์เบนซิน V6 พร้อมเทอร์โบคู่และอินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 2,996 ซีซี ให้กำลัง 367 แรงม้า ที่ 5,500-6,000 รแบ ราคา 6,999,000 บาท

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!