ฟอร์ด รณรงค์สร้างจิตสำนึกการขับขี่ปลอดภัยและไม่ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่


ฟอร์ด รณรงค์สร้างจิตสำนึกการขับขี่ปลอดภัยและไม่ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ โดยจัดกิจกรรม Park Your Phone ให้ความรู้ความเข้าใจแก่พนักงาน ลูกค้าและบุคคลทั่วไปถึงอันตรายของการขาดสมาธิระหว่างขับรถ ณ โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จังหวัดระยอง และที่สำนักงานฟอร์ด ประเทศไทย ในกรุงเทพฯ เพื่อรณรงค์การไม่ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ พร้อมให้พนักงานทุกคนร่วมกันลงนามปฏิญาณตนว่าจะไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ และร่วมสร้างจิตสำนึกเรื่องการขับขี่ปลอดภัย

นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้เผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้ขับขี่ในประเทศไทยซึ่งจัดทำโดย ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ล่าสุดว่าถึงแม้ว่าผู้ปกครองมักจะเป็นกังวลว่าลูกๆ จะติดโทรศัพท์มือถือ แต่ข้อมูลล่าสุดพิสูจน์แล้วว่า ผู้ใหญ่เองก็ยากที่จะวางมือจากโทรศัพท์มือถือเช่นกัน เมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยบรรดาพ่อแม่ก็ขับขี่ประมาทไม่ต่างจากคนวัยมิลเลนเนียล

จากผลการสำรวจดังกล่าว พ่อแม่จำนวนมากถึง 52% เปิดเผยว่า ตนเคยประมาทหรือขาดสมาธิในระหว่างขับขี่ โดยผู้เป็นพ่อมีแนวโน้มที่จะรับโทรศัพท์หรือส่งข้อความขณะขับรถมากกว่า โดยไม่ใช้ระบบแฮนด์ฟรี (คิดเป็น 46 %) เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก (38%) หรือถูกผู้โดยสารในรถทำให้เสียสมาธิ (34%) และที่น่าสนใจคือ ผู้เป็นแม่ส่วนใหญ่ซึ่งค่อนข้างจะมีความรับผิดชอบมากกว่าคนกลุ่มอื่น พวกเธอก็ยังไขว้เขวขณะขับรถมากกว่ากลุ่มมิลเลนเนียล หรือคนวัย 18-34 ปี โดยมักจะอ่านข้อความหรือดูคลิปบนมือถือ

ผลสำรวจดังกล่าวนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมผู้ขับขี่ พร้อมทัศนคติที่มีต่อการขับขี่ที่ขาดสมาธิให้ดียิ่งขึ้น ผลสำรวจดังกล่าวนี้ยังสอดคล้องกับการขยายโครงการ ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย (DSFL) โครงการเพื่อสังคมของฟอร์ดทั่วโลกซึ่งได้ขยายโครงการครอบคลุม 11 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ภายในปี 2560 นี้ และจะมุ่งเน้นในเรื่องการขับขี่ที่ขาดสมาธิมากขึ้นด้วย

“ฟอร์ดมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการรับรู้ถึงการขับขี่ปลอดภัยบนท้องถนน พร้อมการอบรมและฝึกฝนให้ผู้ขับขี่เข้าใจเรื่องการขับขี่ที่ปลอดภัย” นายณรงค์ สีตลายน รองกรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทยกล่าว “โดยทั่วไป โทรศัพท์มือถือทำให้ผู้คนขาดสมาธิกันอยู่แล้ว เมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยขับรถและการใช้โทรศัพท์นั้นอาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้”

พฤติกรรมติดโทรศัพท์มือถือ ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ตอบแบบสำรวจทุกกลุ่มต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “โทรศัพท์มือถือ”เป็นสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิระหว่างการขับรถได้มากที่สุด ตามด้วยสิ่งรบกวนอื่นๆ เช่น ผู้โดยสารในรถ การสูบบุหรี่และการแต่งหน้า แม้ผู้ขับขี่ชาวไทยจำนวน 38% ระบุว่า พวกเขาพยายามที่จะไม่ใช่โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังหยิบขึ้นมาใช้อยู่ดี

ผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถนั้นต่างให้เหตุผลยอดนิยมว่า เพราะการจราจรติดขัดหรือรถติดไฟแดง (คิดเป็น 73%) รับสายจากเพื่อนหรือครอบครัว (63%) และรับสายเรื่องงานหรือส่งอีเมล์ (55%) นอกจากนี้ ความเบื่อหน่ายยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใช้ คนกลุ่มมิลเลนเนียม 34% และคนรุ่นพ่อแม่ผู้ปกครองอีก 23% ยอมรับว่าตนใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเพียงแค่เพราะความเบื่อหรือไม่มีอะไรจะทำ

ส่วนปัจจัยที่จะทำให้พวกเขาวางมือจากโทรศัพท์ในเวลาขับขี่ได้มากที่สุดคือ สภาพอากาศเลวร้าย (คิดเป็น 58%) และเมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ (69%) อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงประเด็นความปลอดภัยของบุคคลอื่น กลับเป็นเรื่องน่ากังวลที่มีผู้ขับขี่เพียง 42% ที่ระบุว่าจะไม่ใช้โทรศัพท์เมื่อเดินทางกับลูกหรือเด็ก ส่วนอีก 39% จะไม่ใช้โทรศัทพ์เมื่อเข้าเขตโรงเรียน และอีกเพียง 14% เมื่อมีสามีหรือภรรยาอยู่ในรถด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ตอบแบบสำรวจจะยอมรับว่ามีเหตุการณ์หลายครั้งหลายคราที่อาจทำให้พวกเขากระทำความผิดฐานขับรถโดยประมาท แต่ผู้ตอบแบบสำรวจ 75% กลับคิดว่า โทษของการขับขี่โดยประมาทควรมีความรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ และอีก 90 % ต่างมีความกังวลว่าชีวิตของพวกเขาจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขับขี่ที่ประมาทขาดสมาธินี้

การลงทุนในเทคโนโลยีและโครงการ ที่ช่วยลดการเสียสมาธิของผู้ขับขี่ ฟอร์ดได้พัฒนาเทคโนโลยีทันสมัยที่จะช่วยลดความประมาท และการเสียสมาธิจากการใช้โทรศัพท์มือถือ อย่างซิงค์ 3 ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะที่ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานด้วยเสียงเพื่อโทรออก รับข้อความ ฟังเพลงและใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน และไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย

ฟอร์ด รณรงค์สร้างจิตสำนึกการขับขี่ปลอดภัยและไม่ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ โดยจัดกิจกรรม Park Your Phone ให้ความรู้ความเข้าใจแก่พนักงาน ลูกค้าและบุคคลทั่วไปถึงอันตรายของการขาดสมาธิระหว่างขับรถ ณ โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จังหวัดระยอง และที่สำนักงานฟอร์ด ประเทศไทย ในกรุงเทพฯ เพื่อรณรงค์การไม่ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ พร้อมให้พนักงานทุกคนร่วมกันลงนามปฏิญาณตนว่าจะไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ และร่วมสร้างจิตสำนึกเรื่องการขับขี่ปลอดภัย

นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้เผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้ขับขี่ในประเทศไทยซึ่งจัดทำโดย ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ล่าสุดว่าถึงแม้ว่าผู้ปกครองมักจะเป็นกังวลว่าลูกๆ จะติดโทรศัพท์มือถือ แต่ข้อมูลล่าสุดพิสูจน์แล้วว่า ผู้ใหญ่เองก็ยากที่จะวางมือจากโทรศัพท์มือถือเช่นกัน เมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยบรรดาพ่อแม่ก็ขับขี่ประมาทไม่ต่างจากคนวัยมิลเลนเนียล

จากผลการสำรวจดังกล่าว พ่อแม่จำนวนมากถึง 52% เปิดเผยว่า ตนเคยประมาทหรือขาดสมาธิในระหว่างขับขี่ โดยผู้เป็นพ่อมีแนวโน้มที่จะรับโทรศัพท์หรือส่งข้อความขณะขับรถมากกว่า โดยไม่ใช้ระบบแฮนด์ฟรี (คิดเป็น 46 %) เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก (38%) หรือถูกผู้โดยสารในรถทำให้เสียสมาธิ (34%) และที่น่าสนใจคือ ผู้เป็นแม่ส่วนใหญ่ซึ่งค่อนข้างจะมีความรับผิดชอบมากกว่าคนกลุ่มอื่น พวกเธอก็ยังไขว้เขวขณะขับรถมากกว่ากลุ่มมิลเลนเนียล หรือคนวัย 18-34 ปี โดยมักจะอ่านข้อความหรือดูคลิปบนมือถือ

ผลสำรวจดังกล่าวนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมผู้ขับขี่ พร้อมทัศนคติที่มีต่อการขับขี่ที่ขาดสมาธิให้ดียิ่งขึ้น ผลสำรวจดังกล่าวนี้ยังสอดคล้องกับการขยายโครงการ ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย (DSFL) โครงการเพื่อสังคมของฟอร์ดทั่วโลกซึ่งได้ขยายโครงการครอบคลุม 11 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ภายในปี 2560 นี้ และจะมุ่งเน้นในเรื่องการขับขี่ที่ขาดสมาธิมากขึ้นด้วย

“ฟอร์ดมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการรับรู้ถึงการขับขี่ปลอดภัยบนท้องถนน พร้อมการอบรมและฝึกฝนให้ผู้ขับขี่เข้าใจเรื่องการขับขี่ที่ปลอดภัย” นายณรงค์ สีตลายน รองกรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทยกล่าว “โดยทั่วไป โทรศัพท์มือถือทำให้ผู้คนขาดสมาธิกันอยู่แล้ว เมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยขับรถและการใช้โทรศัพท์นั้นอาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้”

พฤติกรรมติดโทรศัพท์มือถือ ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ตอบแบบสำรวจทุกกลุ่มต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “โทรศัพท์มือถือ”เป็นสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิระหว่างการขับรถได้มากที่สุด ตามด้วยสิ่งรบกวนอื่นๆ เช่น ผู้โดยสารในรถ การสูบบุหรี่และการแต่งหน้า แม้ผู้ขับขี่ชาวไทยจำนวน 38% ระบุว่า พวกเขาพยายามที่จะไม่ใช่โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังหยิบขึ้นมาใช้อยู่ดี

ผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถนั้นต่างให้เหตุผลยอดนิยมว่า เพราะการจราจรติดขัดหรือรถติดไฟแดง (คิดเป็น 73%) รับสายจากเพื่อนหรือครอบครัว (63%) และรับสายเรื่องงานหรือส่งอีเมล์ (55%) นอกจากนี้ ความเบื่อหน่ายยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใช้ คนกลุ่มมิลเลนเนียม 34% และคนรุ่นพ่อแม่ผู้ปกครองอีก 23% ยอมรับว่าตนใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเพียงแค่เพราะความเบื่อหรือไม่มีอะไรจะทำ

ส่วนปัจจัยที่จะทำให้พวกเขาวางมือจากโทรศัพท์ในเวลาขับขี่ได้มากที่สุดคือ สภาพอากาศเลวร้าย (คิดเป็น 58%) และเมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ (69%) อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงประเด็นความปลอดภัยของบุคคลอื่น กลับเป็นเรื่องน่ากังวลที่มีผู้ขับขี่เพียง 42% ที่ระบุว่าจะไม่ใช้โทรศัพท์เมื่อเดินทางกับลูกหรือเด็ก ส่วนอีก 39% จะไม่ใช้โทรศัทพ์เมื่อเข้าเขตโรงเรียน และอีกเพียง 14% เมื่อมีสามีหรือภรรยาอยู่ในรถด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ตอบแบบสำรวจจะยอมรับว่ามีเหตุการณ์หลายครั้งหลายคราที่อาจทำให้พวกเขากระทำความผิดฐานขับรถโดยประมาท แต่ผู้ตอบแบบสำรวจ 75% กลับคิดว่า โทษของการขับขี่โดยประมาทควรมีความรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ และอีก 90 % ต่างมีความกังวลว่าชีวิตของพวกเขาจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขับขี่ที่ประมาทขาดสมาธินี้

การลงทุนในเทคโนโลยีและโครงการ ที่ช่วยลดการเสียสมาธิของผู้ขับขี่ ฟอร์ดได้พัฒนาเทคโนโลยีทันสมัยที่จะช่วยลดความประมาท และการเสียสมาธิจากการใช้โทรศัพท์มือถือ อย่างซิงค์ 3 ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะที่ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานด้วยเสียงเพื่อโทรออก รับข้อความ ฟังเพลงและใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน และไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!