เมอร์เซเดส-เบนซ์ ย้ำภาพผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า เปิดตัว The E 350 e ซีดานหรูรักษ์โลก หัวใจสปอร์ต


บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำภาพความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า เปิดตัวรถยนต์รุ่นล่าสุดภายใต้แบรนด์ “EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz” (อีคิว – อีเลคทริค อินเทลลิเจนซ์ บาย เมอร์เซเดส-เบนซ์) อย่าง The E 350 e ที่มาเติมเต็มรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในกลุ่ม Contemporary Luxury Sedan ให้ครบครัน โดยรถยนต์รุ่นนี้โดดเด่นด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยม เทคโนโลยีอันล้ำสมัย ระบบความปลอดภัยอันเป็นเลิศ พร้อมอัตราการปล่อย CO2 ที่ 49-57 กรัม/กม.

มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในครั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง ด้านยนตรกรรมไฟฟ้าที่ครบครันมากที่สุดอีกครั้ง ด้วยการนำเสนอรถยนต์รุ่นล่าสุดภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz อย่าง The E 350 e ยนตรกรรมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ที่มาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในกลุ่ม Contemporary Luxury Sedan ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้เปิดตัว The S 500 e และ The C 350 e ให้คนไทยได้สัมผัสเมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา”

มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมที่นำเสนอรถยนต์เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่หลากหลายครอบคลุมทั้งในกลุ่ม Contemporary Luxury และ SUV ซึ่งจากการเปิดตัว The E 350 e ในครั้งนี้ จะทำให้ในปัจจุบัน ทางบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz เป็นจำนวนกว่า 12 รุ่น หลังจากที่ได้เปิดตัว 9 รุ่น อย่าง C 350 e Avantgarde, C 350 e Exclusive, C 350 e AMG Dynamic, C 350 e Estate, S 500 e Executive, S 500 e Exclusive, S 500 e AMG Dynamic, GLE 500 e 4MATIC Exclusive และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic มาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา”

“The E-Class นับเป็นรถยนต์ในกลุ่ม Contemporary Luxury ที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ ที่มีทุกองค์ประกอบสอดรับกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบตามหลัก Sensual Purity รวมถึงเทคโนโลยียนตรกรรมใหม่ล่าสุด ยกระดับแนวคิดการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติไปอีกขั้น ซึ่งสำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด The E 350 e นั้น ยังคงมาพร้อมรูปลักษณ์อันโดดเด่น สมรรถนะอันยอดเยี่ยม เทคโนโลยีอันล้ำสมัย และระบบความปลอดภัยอันเป็นเลิศ ที่พร้อมจะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกรูปแบบการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบเมื่อขับขี่ภายในเมือง หรือการขับขี่แบบไฮบริดที่ผสมผสานการทำงาน ระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ทั้งความประหยัดและการตอบสนองที่รวดเร็ว พร้อมมอบสุนทรียะทุกครั้งที่ขับขี่”

Mercedes-Benz E 350 e คือ รถยนต์ซีดานระดับพรีเมี่ยมที่ผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ไฮบริด นวัตกรรมด้านยานยนต์ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกชั้นเลิศ และภาพลักษณ์อันหรูหราของรถยนต์ตระกูลอี-คลาสเข้าไว้ด้วยกัน สำหรับ The E 350 e มีให้เลือก 3 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic ที่โดดเด่นในเรื่องสมรรถนะและอัตราการใช้พลังงานที่เยี่ยมยอด โดยรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น The E 350 e ผ่านการตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยสำนักงาน TÜV (สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคแห่งประเทศเยอรมนี – the German Technical Inspection Authority) และได้รับใบรับรองด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งใบรับรองดังกล่าวให้การรับรองรถยนต์รุ่น The E 350 e ว่าผ่านการประเมินระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ซึ่งในกระบวนการตรวจสอบแบบองค์รวมที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำรถยนต์ไปตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้วัดอัตราการใช้พลังงานหรืออัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะขับขี่เท่านั้น แต่ยังวัดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงกระบวนการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ ผลการวิเคราะห์เปิดเผยว่ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น The E 350 e ที่ใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริด และได้รับการประจุพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐานของทวีปยุโรปนั้น มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ (นับตั้งแต่กระบวนการผลิตวัสดุสำหรับประกอบเป็นรถยนต์, กระบวนการประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถยนต์, การขับขี่เป็นระยะทาง 250,000 กม.โดยใช้เกณฑ์การคำนวณค่าการปล่อยไอเสียตามมาตรฐานสากล และกระบวนการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์) ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกันและใช้เครื่องยนต์แบบเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 44% และหากใช้แต่พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อประจุแบตเตอรี่แล้ว ค่าความแตกต่างดังกล่าวจะสูงถึง 63% นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ ยังมีอัตราการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหลัก (น้ำมัน) ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่ 31% ถึง 48% ตลอดอายุของผลิตภัณฑ์อีกด้วย

รถยนต์ The E 350 e มาพร้อมกับความประหยัดพลังงานด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 40 – 47.62 กม./ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/ฟม. รวมถึงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กม.ซึ่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมกัน 210 กิโลวัตต์ (286 แรงม้า) และมีแรงบิดสูง 550 นิวตันเมตร การผสมผสานเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ช่วยให้รถยนต์รุ่น The E 350 e นับเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถสปอร์ต แต่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่ารถยนต์คอมแพกต์

ดีไซน์ภายนอก The E 350 e มีรูปลักษณ์ที่ดูสง่างามอย่างมีระดับตามแบบฉบับของรถยนต์ตระกูลอี-คลาส โดย The E 350 e Avantgarde มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED High Performance สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED, ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS – Intelligent Light System), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS – Active Light System), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) โดย The E 350 e AMG Dynamic จะเพิ่มเติมความพิเศษด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว, หลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า

ซึ่งล่าสุดเทคโนโลยี MULTIBEAM LED ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกใช้กับรถยนต์ในตระกูล The E-Class นั้น ได้รับรางวัล “Red Dot Award” ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกด้านการออกแบบ โดยรางวัลนี้ถือเป็นเครื่องรับรองถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างประณีตบรรจง มีการใช้นวัตกรรมอันล้ำสมัย ผสานทั้งคุณภาพและสุนทรียะเข้าไว้อย่างลงตัว ซึ่งเทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ถือเป็นก้าวสำคัญทางวิศวกรรมยานยนต์ โดยโคมไฟหน้าแต่ละโคมจะประกอบด้วยหลอดไฟแอลอีดีประสิทธิภาพสูงจำนวน 84 หลอด ที่ทำงานได้อย่างเป็นอิสระ ชุดไฟหน้าจะสามารถส่องพื้นถนนข้างหน้ารถได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีระดับความเข้มของแสงที่สว่างและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม โดยที่ไม่รบกวนสายตาของผู้สัญจรท่านอื่นๆ ซึ่งนอกเหนือจากลำแสงที่เปล่งออกมาอย่างสง่างาม เร้าอารมณ์ และมีความร่วมสมัยแล้ว เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะของรถยนต์ตระกูลอี-คลาสที่ล้ำสมัยและมีความอัจฉริยะ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเรียงตัวของชุดไฟสำหรับการขับขี่ตอนกลางวัน ที่มีลักษณะโค้งเป็นวงคล้ายคิ้วของมนุษย์ รวมไปถึงการประกอบชุดโคมไฟโดยใช้วัสดุคุณภาพสูง ซึ่งส่งผลให้รถยนต์ซีดานรุ่นนี้มีภาพลักษณ์ที่สง่าและโดดเด่น

ดีไซน์ภายใน สำหรับห้องโดยสารของ The E-Class นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ด้วยการคว้ารางวัลจากงาน “Automotive Interiors Expo Awards” ประจำปี 2016 ในด้าน “ห้องโดยสารยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง (the best interior of a standard-production automobile)” และ “นวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี” จากผลงานการออกแบบแผงควบคุมระบบสัมผัสบนคอพวงมาลัยในรถยนต์ The E-Class อีกด้วย ซึ่งห้องโดยสารของรถยนต์ The E-Class คือผลลัพธ์ของการตีความแนวคิด Contemporary Luxury ใหม่ ผ่านการออกแบบห้องโดยสารให้ดูกว้างขวาง และเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติอัจฉริยะมากมาย นอกเหนือจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังใช้นวัตกรรมที่ก้าวล้ำและอุปกรณ์ตกแต่งคุณภาพสูง เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าอารมณ์ให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญา Sensual Purity ของแบรนด์ โดยรถยนต์ตระกูลอี-คลาสทุกรุ่น มิได้เป็นเพียงรถยนต์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ซีดานสำหรับผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือน “สถานที่ที่ 3 (third place)” นอกเหนือไปจากบ้านและสถานที่ทำงาน ที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถใช้เวลาเพลิดเพลินกับความหรูหราและร่วมสมัยได้ตลอดการเดินทาง

โดยสำหรับรถยนต์รุ่น The E 350 e ได้รับการออกแบบให้เบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ ซึ่งรุ่น The E 350 e Avantgarde และ The E 350 e Exclusive ภายในได้รับการตกแต่งสไตล์หรูหรา มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa ในขณะที่รุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa, นอกจากนี้ สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit เพิ่มความพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display)
ในระบบมัลติมีเดียนั้น The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® นอกจากนี้ ทั้ง 3 รุ่นยังมาพร้อมกับ ระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทาง พร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสาร ด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สีอีกด้วย

ความปลอดภัยและเทคโนโลยี ของ The E 350 e มาพร้อมกับระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) และระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging for mobile phone)

โดย The E 350 e Avantgarde มาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ ในขณะที่ The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง รวมถึงระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ที่ติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้อีกด้วย

The E 350 e เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี กำลังแรงม้า 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

• The E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท, • The E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท, • The E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำภาพความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า เปิดตัวรถยนต์รุ่นล่าสุดภายใต้แบรนด์ “EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz” (อีคิว – อีเลคทริค อินเทลลิเจนซ์ บาย เมอร์เซเดส-เบนซ์) อย่าง The E 350 e ที่มาเติมเต็มรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในกลุ่ม Contemporary Luxury Sedan ให้ครบครัน โดยรถยนต์รุ่นนี้โดดเด่นด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยม เทคโนโลยีอันล้ำสมัย ระบบความปลอดภัยอันเป็นเลิศ พร้อมอัตราการปล่อย CO2 ที่ 49-57 กรัม/กม.

มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในครั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง ด้านยนตรกรรมไฟฟ้าที่ครบครันมากที่สุดอีกครั้ง ด้วยการนำเสนอรถยนต์รุ่นล่าสุดภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz อย่าง The E 350 e ยนตรกรรมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ที่มาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในกลุ่ม Contemporary Luxury Sedan ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้เปิดตัว The S 500 e และ The C 350 e ให้คนไทยได้สัมผัสเมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา”

มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมที่นำเสนอรถยนต์เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่หลากหลายครอบคลุมทั้งในกลุ่ม Contemporary Luxury และ SUV ซึ่งจากการเปิดตัว The E 350 e ในครั้งนี้ จะทำให้ในปัจจุบัน ทางบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz เป็นจำนวนกว่า 12 รุ่น หลังจากที่ได้เปิดตัว 9 รุ่น อย่าง C 350 e Avantgarde, C 350 e Exclusive, C 350 e AMG Dynamic, C 350 e Estate, S 500 e Executive, S 500 e Exclusive, S 500 e AMG Dynamic, GLE 500 e 4MATIC Exclusive และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic มาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา”

“The E-Class นับเป็นรถยนต์ในกลุ่ม Contemporary Luxury ที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ ที่มีทุกองค์ประกอบสอดรับกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบตามหลัก Sensual Purity รวมถึงเทคโนโลยียนตรกรรมใหม่ล่าสุด ยกระดับแนวคิดการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติไปอีกขั้น ซึ่งสำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด The E 350 e นั้น ยังคงมาพร้อมรูปลักษณ์อันโดดเด่น สมรรถนะอันยอดเยี่ยม เทคโนโลยีอันล้ำสมัย และระบบความปลอดภัยอันเป็นเลิศ ที่พร้อมจะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกรูปแบบการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบเมื่อขับขี่ภายในเมือง หรือการขับขี่แบบไฮบริดที่ผสมผสานการทำงาน ระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ทั้งความประหยัดและการตอบสนองที่รวดเร็ว พร้อมมอบสุนทรียะทุกครั้งที่ขับขี่”

Mercedes-Benz E 350 e คือ รถยนต์ซีดานระดับพรีเมี่ยมที่ผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ไฮบริด นวัตกรรมด้านยานยนต์ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกชั้นเลิศ และภาพลักษณ์อันหรูหราของรถยนต์ตระกูลอี-คลาสเข้าไว้ด้วยกัน สำหรับ The E 350 e มีให้เลือก 3 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic ที่โดดเด่นในเรื่องสมรรถนะและอัตราการใช้พลังงานที่เยี่ยมยอด โดยรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น The E 350 e ผ่านการตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยสำนักงาน TÜV (สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคแห่งประเทศเยอรมนี – the German Technical Inspection Authority) และได้รับใบรับรองด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งใบรับรองดังกล่าวให้การรับรองรถยนต์รุ่น The E 350 e ว่าผ่านการประเมินระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ซึ่งในกระบวนการตรวจสอบแบบองค์รวมที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำรถยนต์ไปตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้วัดอัตราการใช้พลังงานหรืออัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะขับขี่เท่านั้น แต่ยังวัดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงกระบวนการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ ผลการวิเคราะห์เปิดเผยว่ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น The E 350 e ที่ใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริด และได้รับการประจุพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐานของทวีปยุโรปนั้น มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ (นับตั้งแต่กระบวนการผลิตวัสดุสำหรับประกอบเป็นรถยนต์, กระบวนการประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถยนต์, การขับขี่เป็นระยะทาง 250,000 กม.โดยใช้เกณฑ์การคำนวณค่าการปล่อยไอเสียตามมาตรฐานสากล และกระบวนการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์) ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกันและใช้เครื่องยนต์แบบเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 44% และหากใช้แต่พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อประจุแบตเตอรี่แล้ว ค่าความแตกต่างดังกล่าวจะสูงถึง 63% นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ ยังมีอัตราการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหลัก (น้ำมัน) ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่ 31% ถึง 48% ตลอดอายุของผลิตภัณฑ์อีกด้วย

รถยนต์ The E 350 e มาพร้อมกับความประหยัดพลังงานด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 40 – 47.62 กม./ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/ฟม. รวมถึงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กม.ซึ่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมกัน 210 กิโลวัตต์ (286 แรงม้า) และมีแรงบิดสูง 550 นิวตันเมตร การผสมผสานเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ช่วยให้รถยนต์รุ่น The E 350 e นับเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถสปอร์ต แต่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่ารถยนต์คอมแพกต์

ดีไซน์ภายนอก The E 350 e มีรูปลักษณ์ที่ดูสง่างามอย่างมีระดับตามแบบฉบับของรถยนต์ตระกูลอี-คลาส โดย The E 350 e Avantgarde มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED High Performance สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED, ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS – Intelligent Light System), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS – Active Light System), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) โดย The E 350 e AMG Dynamic จะเพิ่มเติมความพิเศษด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว, หลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า

ซึ่งล่าสุดเทคโนโลยี MULTIBEAM LED ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกใช้กับรถยนต์ในตระกูล The E-Class นั้น ได้รับรางวัล “Red Dot Award” ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกด้านการออกแบบ โดยรางวัลนี้ถือเป็นเครื่องรับรองถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างประณีตบรรจง มีการใช้นวัตกรรมอันล้ำสมัย ผสานทั้งคุณภาพและสุนทรียะเข้าไว้อย่างลงตัว ซึ่งเทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ถือเป็นก้าวสำคัญทางวิศวกรรมยานยนต์ โดยโคมไฟหน้าแต่ละโคมจะประกอบด้วยหลอดไฟแอลอีดีประสิทธิภาพสูงจำนวน 84 หลอด ที่ทำงานได้อย่างเป็นอิสระ ชุดไฟหน้าจะสามารถส่องพื้นถนนข้างหน้ารถได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีระดับความเข้มของแสงที่สว่างและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม โดยที่ไม่รบกวนสายตาของผู้สัญจรท่านอื่นๆ ซึ่งนอกเหนือจากลำแสงที่เปล่งออกมาอย่างสง่างาม เร้าอารมณ์ และมีความร่วมสมัยแล้ว เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะของรถยนต์ตระกูลอี-คลาสที่ล้ำสมัยและมีความอัจฉริยะ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเรียงตัวของชุดไฟสำหรับการขับขี่ตอนกลางวัน ที่มีลักษณะโค้งเป็นวงคล้ายคิ้วของมนุษย์ รวมไปถึงการประกอบชุดโคมไฟโดยใช้วัสดุคุณภาพสูง ซึ่งส่งผลให้รถยนต์ซีดานรุ่นนี้มีภาพลักษณ์ที่สง่าและโดดเด่น

ดีไซน์ภายใน สำหรับห้องโดยสารของ The E-Class นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ด้วยการคว้ารางวัลจากงาน “Automotive Interiors Expo Awards” ประจำปี 2016 ในด้าน “ห้องโดยสารยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง (the best interior of a standard-production automobile)” และ “นวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี” จากผลงานการออกแบบแผงควบคุมระบบสัมผัสบนคอพวงมาลัยในรถยนต์ The E-Class อีกด้วย ซึ่งห้องโดยสารของรถยนต์ The E-Class คือผลลัพธ์ของการตีความแนวคิด Contemporary Luxury ใหม่ ผ่านการออกแบบห้องโดยสารให้ดูกว้างขวาง และเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติอัจฉริยะมากมาย นอกเหนือจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังใช้นวัตกรรมที่ก้าวล้ำและอุปกรณ์ตกแต่งคุณภาพสูง เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าอารมณ์ให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญา Sensual Purity ของแบรนด์ โดยรถยนต์ตระกูลอี-คลาสทุกรุ่น มิได้เป็นเพียงรถยนต์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ซีดานสำหรับผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือน “สถานที่ที่ 3 (third place)” นอกเหนือไปจากบ้านและสถานที่ทำงาน ที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถใช้เวลาเพลิดเพลินกับความหรูหราและร่วมสมัยได้ตลอดการเดินทาง

โดยสำหรับรถยนต์รุ่น The E 350 e ได้รับการออกแบบให้เบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ ซึ่งรุ่น The E 350 e Avantgarde และ The E 350 e Exclusive ภายในได้รับการตกแต่งสไตล์หรูหรา มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa ในขณะที่รุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa, นอกจากนี้ สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit เพิ่มความพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display) ในระบบมัลติมีเดียนั้น The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® นอกจากนี้ ทั้ง 3 รุ่นยังมาพร้อมกับ ระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทาง พร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสาร ด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สีอีกด้วย

ความปลอดภัยและเทคโนโลยี ของ The E 350 e มาพร้อมกับระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) และระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging for mobile phone)

โดย The E 350 e Avantgarde มาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ ในขณะที่ The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง รวมถึงระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ที่ติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้อีกด้วย

The E 350 e เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี กำลังแรงม้า 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

• The E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท, • The E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท, • The E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!