“กรมหลวงชุมพรฯ” กับ “หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า” อิทธิปาฏิหารย์เมื่อครั้งสองท่านได้พบกัน


เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “พระบิดาแห่งราชนาวีไทย” นั้น ทรงเลื่อมใสไสยศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิใกล้ชิดของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ผู้โด่งดังในเรื่องไสยเวทย์

กล่าวกันว่า ถ้ากล่าวถึงกรมหลวงชุมพรฯ ก็เว้นเสียมิได้ที่จะต้องกล่าวถึงหลวงปู่ศุข และถ้ากล่าวถึงหลวงปู่ศุข ก็เว้นเสียมิได้เช่นกันที่จะต้องกล่าวถึงกรมหลวงชุมพรฯ ความสัมพันธ์ของศิษย์และอาจารย์คู่นี้ เริ่มขึ้นเมื่อเสด็จในกรมเสด็จประพาสทางน้ำ โดยมีเรือกลไฟลากจูงเรือพระที่นั่งขึ้นไปทางเหนือและไปจอดหุงข้าวต้มแกงกันที่หน้าวัดมะขามเฒ่า เผอิญวันนั้นหลวงปู่ศุขใช้ให้เด็กวัดไปตัดหญ้าที่ดงกล้วย เด็กเห็นหัวปลีสุกอยู่ ๗-๘ หัวจึงตัดกองไว้ ตกบ่ายหลวงปู่เดินลงไปดูเด็กตัดหญ้า เห็นหัวปลีกองอยู่จึงนั่งลงหยิบมาลูบคลำ สักครู่ก็วางลง ทันใดหัวปลีก็กลายเป็นกระต่ายวิ่งเพ่นพ่าน กรมหลวงชุมพรฯ ทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเรียกคนในเรือมาดู สักครู่กระต่ายที่วิ่งอยู่ก็กลับมาหาหลวงปู่ศุข หลวงปู่จึงจับมาวางที่กองเก่า กลายเป็นหัวปลีไปอย่างเดิม

กรมหลวงชุมพรฯ ไม่รอช้า ชวนพระยากาจกำแหงและ ผู้ติดตามอีก 2 คนขึ้นไปกราบนมัสการหลวงปู่ คุยกันสักพักหลวงปู่ก็ชวนขึ้นไปคุยบนกุฏิ ต่างคุยถูกคอจน 4-5 ทุ่ม จึงเสด็จกลับเรือ หลวงปู่ก็ไม่รู้ว่าใครที่มาคุยด้วยจนดึก เช้าขึ้นให้คนไปสืบถามกับคนที่มาในเรือจึงได้รู้ว่า “นี่แหละพระองค์เจ้าอาภากร ลูกในหลวง ร. ๕”

รุ่งเช้ากรมหลวงชุมพรฯ ก็เสด็จขึ้นไปหาหลวงปู่อีก หลวงปู่ก็รับรองเต็มที่ ยกนี้คุยกันยาวถึงบ่าย ๒ โมงโดยต่างก็ไม่รู้สึกตัว หลวงปู่ลืมฉันเพล เสด็จในกรมก็ไม่ได้เสวยอาหารกลางวัน ตอนบ่ายหลวงปู่ได้ถามว่า “อยากดูคนเป็นจระเข้มั๊ย?” เสด็จฯ รับว่าอยากดู หลวงปู่จึงให้หาทหารเรือมา ๑ คน เสด็จฯ ก็ให้คนไปเรียกพลทหารจ๊อกมา หลวงปู่บอกกับพลทหารจ๊อกว่า “เป็นจระเข้ให้เขาดูหน่อย” แล้วพาไปที่ขอบบ่อ เอาเชือกผูกเอวพลทหารจ๊อกไว้ ให้นั่งหลับตาพนมมือ หลวงปู่เสกเป่าอยู่พักหนึ่งแล้วผลักพลทหารจ๊อกลงไปในบ่อ บัดดลพลทหารจ๊อกก็กลายเป็นจระเข้ไปทันทีท่ามกลางสายตาของคนในเรือที่ตามมาดูรอบบ่อ สักครู่หลวงปู่ให้เอาบาตรตักน้ำมาทำเป็นน้ำมนต์ แล้วสาดลงไปในบ่อ พลทหารจ๊อกก็กลับเป็นคนอย่างเดิม ลากกลับขึ้นมาด้วยอาการปกติ

จากการแสดงของหลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่าครั้งนี้ หลังจากนั้น กรมหลวงชุมพรฯ ก็ไม่ได้เสด็จไปตากอากาศที่ไหนอีก มีเวลาเมื่อใดเป็นต้องเสด็จไปประทับที่วัดมะขามเฒ่า ขณะเดียวกันก็สร้างกุฏิขึ้น ๑ หลังที่วังนางเลิ้ง สำหรับให้หลวงปู่พักเมื่อมากรุงเทพฯ เมื่อหลวงปู่มาแต่ละครั้งก็ปรากฏว่ามีบริวารของเสด็จฯ เองรวมทั้งประชาชนอื่น ๆ แห่ไปหาจนแน่นกุฏิทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อขอของดี กรมหลวงชุมพรฯ ต้องกำหนดเวลาตั้งแต่เช้าถึงเพลรอบหนึ่ง และย่ำค่ำถึง ๓ ทุ่มอีกรอบ นอกนั้นห้ามรบกวนหลวงปู่

หลังจากที่ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่าแล้ว ก็มีเรื่องเล่าถึงการอยู่ยงคงกระพันชาตรีของกรมหลวงชุมพรฯ หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า ขณะที่ทรงเสวยน้ำจัณฑ์อยู่ในวังนางเลิ้ง มีคนวิ่งเข้ามาทูลว่า ขณะนั้นมหาดเล็กของพระองค์คนหนึ่งกำลังมีเรื่องวิวาทอยู่กับพวกนักเลงนางเลิ้ง ถูกนักเลงหลายคนช่วยกันรุม เสด็จฯ จึงทรงรถม้าออกไปอย่างรีบด่วน และไปถึงขณะที่พวกนักเลงกำลังใช้ดาบกลุ้มรุมมหาดเล็กของพระองค์อยู่ จึงทรงกระโจนจากรถม้าเข้าคร่อมร่างของมหาดเล็กที่เสียท่านอนหงายอยู่ที่พื้นไว้ คมดาบของนักเลงจึงลงกลางหลังพระองค์ดังฉึก แต่ไม่เข้าทำเอาพวกนักเลงพากันตกใจ พอดีกับบรรดามหาดเล็กในวังวิ่งตามมาทัน พวกนักเลงเลยพากันเผ่นหนีโดยไม่ทันรู้ว่าพระองค์เป็นใคร

ทุกวันนี้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ทุกศาลาจะมีรูปปั้นกรมหลวงชุมพรฯ เคียงคู่อยู่กับหลวงปู่ศุข เสมือนพระองค์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับหลวงปู่ และมีผู้ไปกราบไหว้กันไม่ขาดสาย บ้างก็นำสำรับอาหารไปถวายเหมือนหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ภายในโบสถ์ก็มีภาพฝีพระหัตถ์ของเสด็จฯ ประดับไว้ที่ฝาผนังโบสถ์ ส่วนภายในพระตำหนักของเสด็จฯ ที่อยู่ในวัด ก็ยังมีเครื่องแบบและสิ่งของต่างๆ ของพระองค์จัดแสดงไว้ให้ชม.

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “พระบิดาแห่งราชนาวีไทย” นั้น ทรงเลื่อมใสไสยศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิใกล้ชิดของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ผู้โด่งดังในเรื่องไสยเวทย์

กล่าวกันว่า ถ้ากล่าวถึงกรมหลวงชุมพรฯ ก็เว้นเสียมิได้ที่จะต้องกล่าวถึงหลวงปู่ศุข และถ้ากล่าวถึงหลวงปู่ศุข ก็เว้นเสียมิได้เช่นกันที่จะต้องกล่าวถึงกรมหลวงชุมพรฯ ความสัมพันธ์ของศิษย์และอาจารย์คู่นี้ เริ่มขึ้นเมื่อเสด็จในกรมเสด็จประพาสทางน้ำ โดยมีเรือกลไฟลากจูงเรือพระที่นั่งขึ้นไปทางเหนือและไปจอดหุงข้าวต้มแกงกันที่หน้าวัดมะขามเฒ่า เผอิญวันนั้นหลวงปู่ศุขใช้ให้เด็กวัดไปตัดหญ้าที่ดงกล้วย เด็กเห็นหัวปลีสุกอยู่ ๗-๘ หัวจึงตัดกองไว้ ตกบ่ายหลวงปู่เดินลงไปดูเด็กตัดหญ้า เห็นหัวปลีกองอยู่จึงนั่งลงหยิบมาลูบคลำ สักครู่ก็วางลง ทันใดหัวปลีก็กลายเป็นกระต่ายวิ่งเพ่นพ่าน กรมหลวงชุมพรฯ ทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเรียกคนในเรือมาดู สักครู่กระต่ายที่วิ่งอยู่ก็กลับมาหาหลวงปู่ศุข หลวงปู่จึงจับมาวางที่กองเก่า กลายเป็นหัวปลีไปอย่างเดิม

กรมหลวงชุมพรฯ ไม่รอช้า ชวนพระยากาจกำแหงและ ผู้ติดตามอีก 2 คนขึ้นไปกราบนมัสการหลวงปู่ คุยกันสักพักหลวงปู่ก็ชวนขึ้นไปคุยบนกุฏิ ต่างคุยถูกคอจน 4-5 ทุ่ม จึงเสด็จกลับเรือ หลวงปู่ก็ไม่รู้ว่าใครที่มาคุยด้วยจนดึก เช้าขึ้นให้คนไปสืบถามกับคนที่มาในเรือจึงได้รู้ว่า “นี่แหละพระองค์เจ้าอาภากร ลูกในหลวง ร. ๕”

รุ่งเช้ากรมหลวงชุมพรฯ ก็เสด็จขึ้นไปหาหลวงปู่อีก หลวงปู่ก็รับรองเต็มที่ ยกนี้คุยกันยาวถึงบ่าย ๒ โมงโดยต่างก็ไม่รู้สึกตัว หลวงปู่ลืมฉันเพล เสด็จในกรมก็ไม่ได้เสวยอาหารกลางวัน ตอนบ่ายหลวงปู่ได้ถามว่า “อยากดูคนเป็นจระเข้มั๊ย?” เสด็จฯ รับว่าอยากดู หลวงปู่จึงให้หาทหารเรือมา ๑ คน เสด็จฯ ก็ให้คนไปเรียกพลทหารจ๊อกมา หลวงปู่บอกกับพลทหารจ๊อกว่า “เป็นจระเข้ให้เขาดูหน่อย” แล้วพาไปที่ขอบบ่อ เอาเชือกผูกเอวพลทหารจ๊อกไว้ ให้นั่งหลับตาพนมมือ หลวงปู่เสกเป่าอยู่พักหนึ่งแล้วผลักพลทหารจ๊อกลงไปในบ่อ บัดดลพลทหารจ๊อกก็กลายเป็นจระเข้ไปทันทีท่ามกลางสายตาของคนในเรือที่ตามมาดูรอบบ่อ สักครู่หลวงปู่ให้เอาบาตรตักน้ำมาทำเป็นน้ำมนต์ แล้วสาดลงไปในบ่อ พลทหารจ๊อกก็กลับเป็นคนอย่างเดิม ลากกลับขึ้นมาด้วยอาการปกติ

จากการแสดงของหลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่าครั้งนี้ หลังจากนั้น กรมหลวงชุมพรฯ ก็ไม่ได้เสด็จไปตากอากาศที่ไหนอีก มีเวลาเมื่อใดเป็นต้องเสด็จไปประทับที่วัดมะขามเฒ่า ขณะเดียวกันก็สร้างกุฏิขึ้น ๑ หลังที่วังนางเลิ้ง สำหรับให้หลวงปู่พักเมื่อมากรุงเทพฯ เมื่อหลวงปู่มาแต่ละครั้งก็ปรากฏว่ามีบริวารของเสด็จฯ เองรวมทั้งประชาชนอื่น ๆ แห่ไปหาจนแน่นกุฏิทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อขอของดี กรมหลวงชุมพรฯ ต้องกำหนดเวลาตั้งแต่เช้าถึงเพลรอบหนึ่ง และย่ำค่ำถึง ๓ ทุ่มอีกรอบ นอกนั้นห้ามรบกวนหลวงปู่

หลังจากที่ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่าแล้ว ก็มีเรื่องเล่าถึงการอยู่ยงคงกระพันชาตรีของกรมหลวงชุมพรฯ หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า ขณะที่ทรงเสวยน้ำจัณฑ์อยู่ในวังนางเลิ้ง มีคนวิ่งเข้ามาทูลว่า ขณะนั้นมหาดเล็กของพระองค์คนหนึ่งกำลังมีเรื่องวิวาทอยู่กับพวกนักเลงนางเลิ้ง ถูกนักเลงหลายคนช่วยกันรุม เสด็จฯ จึงทรงรถม้าออกไปอย่างรีบด่วน และไปถึงขณะที่พวกนักเลงกำลังใช้ดาบกลุ้มรุมมหาดเล็กของพระองค์อยู่ จึงทรงกระโจนจากรถม้าเข้าคร่อมร่างของมหาดเล็กที่เสียท่านอนหงายอยู่ที่พื้นไว้ คมดาบของนักเลงจึงลงกลางหลังพระองค์ดังฉึก แต่ไม่เข้าทำเอาพวกนักเลงพากันตกใจ พอดีกับบรรดามหาดเล็กในวังวิ่งตามมาทัน พวกนักเลงเลยพากันเผ่นหนีโดยไม่ทันรู้ว่าพระองค์เป็นใคร

ทุกวันนี้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ทุกศาลาจะมีรูปปั้นกรมหลวงชุมพรฯ เคียงคู่อยู่กับหลวงปู่ศุข เสมือนพระองค์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับหลวงปู่ และมีผู้ไปกราบไหว้กันไม่ขาดสาย บ้างก็นำสำรับอาหารไปถวายเหมือนหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ภายในโบสถ์ก็มีภาพฝีพระหัตถ์ของเสด็จฯ ประดับไว้ที่ฝาผนังโบสถ์ ส่วนภายในพระตำหนักของเสด็จฯ ที่อยู่ในวัด ก็ยังมีเครื่องแบบและสิ่งของต่างๆ ของพระองค์จัดแสดงไว้ให้ชม.

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!