บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมสร้างปรากฏการณ์แห่ง “สุนทรียภาพทางอารมณ์” ด้วยทัพนวัตกรรมยานยนต์เหนือระดับและเทคโนโลยีครบครัน มุ่งสู่เวทีบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40


บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย แสดงศักยภาพความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับพรีเมียม ด้วยการยกทัพรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เข้าร่วมงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40 ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2562 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี

นำขบวนโดยบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ ใหญ่ที่สุดในตระกูล X ตำนานบทใหม่ของรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ที่ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 7 ของที่สุดแห่งยนตรกรรม พร้อมการกลับมาของตำนานโรดสเตอร์ตัวจริงอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู Z4 พร้อมให้ผู้ชื่นชอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้สัมผัสกับทัพยนตรกรรมใหม่อย่างใกล้ชิด และเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้เปิดตัวระบบผู้ช่วยส่วนตัวฉลาดล้ำ BMW Intelligent Personal Assistant ที่สามารถรับคำสั่งจากเสียงพูดในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ พ่วงด้วยฟังก์ชั่นอันชาญฉลาดอีกมากมาย

นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ยังมาเสริมทัพด้วยมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS Adventure พร้อมการเพิ่มฟีเจอร์และสีใหม่ในบีเอ็มดับเบิลยู C 400 X บีเอ็มดับเบิล R nineT

บีเอ็มดับเบิลยู R nineT Scrambler และบีเอ็มดับเบิลยู K 1600 Grand America ด้านมินิ ก็เตรียมต้อนรับแฟน ๆ อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัวของมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี ครั้งแรกในเอเชีย

มร.คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เป็นโอกาสหนึ่งที่สำคัญในการตอกย้ำความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู ในการสร้างสุดยอดยนตรกรรมเพื่อสุนทรียภาพในการขับขี่ที่แท้จริง เน้นย้ำถึงความเป็นผู้นำของบีเอ็มดับเบิลยูด้านยนตรกรรมหรูหราเหนือระดับ เทคโนโลยีทางวิศวกรรม รวมไปถึงความเป็นผู้นำในระบบดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อผู้ขับขี่และรถยนต์เข้ากับบริการด้านต่างๆ เพื่อร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์สู่วิสัยทัศน์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน สอดคล้องกับงานในปีนี้ที่จัดขึ้นตามแนวคิด ‘สุนทรียภาพทางอารมณ์’ หรือ ‘Enjoyment of Automobiles’ ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำยุค เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับสุนทรีย์แห่งการขับขี่หลังพวงมาลัยรถบีเอ็มดับเบิลยู การเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ในปีนี้ ในฐานะยนตรกรรมอันเป็นที่สุดของตระกูล X และเป็นรุ่นที่ใหญ่ โออ่าที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยผลิตมา สะท้อนถึงมรดกแห่งความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ที่สืบทอดกันมาตลอด 100 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ด้วยความหรูหราที่เหนือระดับและสมรรถนะอันเต็มเปี่ยมบนทุกเส้นทาง นอกจากนี้ เรายังรู้สึกยินดีที่ได้นำบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ใหม่ และ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ มาเพื่อพิสูจน์ถึงความล้ำสมัย ทั้งในด้านเอกลักษณ์แห่งการออกแบบ สมรรถนะที่ปราดเปรียว ประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับ รวมถึงนวัตกรรมล้ำยุค ที่ครองใจแฟนๆ มาทุกยุคทุกสมัย เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับยิ่งขึ้น อันเป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู”

“อีกหนึ่งสุนทรียภาพที่บีเอ็มดับเบิลยูนำมามอบให้กับแฟนๆ ชาวไทยในปีนี้คือการเปิดตัวซิงเกิลล่าสุด Be My World ซึ่งถ่ายทอดผ่านสามศิลปินนักร้องที่มีสไตล์หลากหลาย สะท้อนถึงคาแร็คเตอร์ของรถบีเอ็มดับเบิลยูที่แตกต่างกัน เชื่อว่าลูกค้าและผู้ที่หลงใหลในแบรนด์ของเราจะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของบีเอ็มดับเบิลยูหลากรูปแบบผ่านบทเพลงนี้อย่างแน่นอน” มร.คริสเตียน กล่าวเพิ่มเติม

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคว้ารางวัล “Car & Bike of the Year 2018” มาครองถึง 13 รางวัล สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดหลากหลายรุ่น

ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2019

บีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่ ราคา 8,999,000 บาท

นิยามใหม่แห่งความหรูหราในเซกเมนต์รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (SAV) อย่างบีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่ พร้อมที่จะมาทำสร้างตำนานบทใหม่อันสุดเร้าใจให้แฟนๆ ชาวไทยด้วยการผสานความล้ำสมัยและความคล่องตัวในดีไซน์ที่แปลกใหม่เข้าไว้ด้วยกัน โดดเด่นด้วยมิติรถที่กว้างขวางโอ่อ่าที่สุดในตระกูล X พร้อมด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และรูปลักษณ์ที่สะกดทุกสายตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ทรงแนวตั้งขนาดใหญ่ กระจกบานกว้าง ความสูงของรถ ไปจนถึงการถ่ายทอดพลังผ่านทรวดทรงหลังคาที่ลาดยาว ตอบโจทย์ความหรูหรา ควบคู่ไปกับเอกลักษณ์ที่พร้อมเปิดมิติใหม่แห่งความโฉบเฉี่ยวในทุกเส้นทาง

บีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี M Performance TwinPower Turbo ที่ส่งพละกำลัง 294 400 แรงม้า แรงบิด 760 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 3,000 รอบ ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. สมรรถนะของบีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d สร้างความประทับใจได้อย่างโดดเด่นด้วยการส่งพละกำลังจากชุดเทอร์โบแบบหลายสเตจ ซึ่งประกอบด้วยชุดอัดอากาศแบบความดันต่ำ 2 ตัว และแบบความดันสูง 2 ตัว ทำให้เรียกพละกำลังได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ไม่สะดุด ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ รวมทั้งระบบช่วงล่างแบบถุงลมสามารถปรับระดับอัตโนมัติ คล่องตัวด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้อย่างแม่นยำและง่ายดาย มอบความสะดวกสบายในการขับขี่ทุกสภาพถนน สมกับสมรรถนะที่แข็งแกร่งของ SAV คันนี้อย่างแท้จริง ขณะที่เทคโนโลยีแชสซีใหม่ล่าสุดพร้อมระบบควบคุมช่วงล่าง Executive Drive Pro ยังช่วยมอบการควบคุมที่เฉียบคมและปราดเปรียวยิ่งขึ้น

บีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่มาพร้อมกับท่อไอเสียในสไตล์ M Sport เสริมจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตด้วยเสียงดุดัน สร้างความเร้าใจในการขับขี่ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามในแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู

แม้ว่าบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่จะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ใหญ่และโอ่อ่า แต่เส้นสายการออกแบบนั้น ถ่ายทอดออกมาในสไตล์ที่ปราดเปรียวและคล่องตัว เน้นองค์ประกอบของความประณีตและความเรียบง่าย กระจังหน้าทรงไตคู่ทรงแนวตั้งขนาดใหญ่ รวมไปถึงระบบไฟหน้า BMW Laserlight สร้างเอกลักษณ์ให้รถยนต์รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี ส่วนล้ออัลลอย BMW Individual ขนาด 22 นิ้ว ลาย Y-spoke สวยสะดุดตาจากทุกมุม ขับเน้นให้บีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ ดูทรงพลังและภูมิฐานมากขึ้น

ห้องโดยสารภายในของบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ สะท้อนนิยามของความหรูหราสง่างามที่มาบรรจบกับการออกแบบเหนือกาลเวลา และความสะดวกสบายเหนือระดับ ด้วยห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ ออกแบบให้รองรับเบาะนั่งแบบ 3 แถว จุผู้โดยสารได้สูงสุด 7 คน โดยทุกที่นั่งสามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า มอบความสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เบาะที่นั่งบุด้วยหนังแท้ Merino เนื้อละเอียดจาก BMW Individual หรูหราขึ้นไปอีกขั้นด้วยการตกแต่งห้องโดยสารด้วยลายไม้สีดำเงา ให้บรรยากาศในสไตล์เรียบหรู ส่วนห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีปริมาตรความจุ 326 ลิตร และเพิ่มได้สูงสุด 750 ลิตร หรือ 2,120 ลิตร เมื่อพับเบาะแถว 3 และแถว 2 ตามลำดับ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ในชีวิตประจำวันและผู้ที่รักการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ความหรูหราในห้องโดยสารนั้นยังเสริมด้วยวัสดุตกแต่งผลึกแก้ว ‘CraftedClarity’ พร้อมชุดไฟ Ambient light ชุดไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร เพดานกระจกใสพาโนรามาแบบ Sky Lounge ที่เพิ่มความโปร่งอย่างโอ่อ่าเหนือระดับ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน พร้อมมอบความปลอดภัยและความสะดวกสบายจากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ล้ำสมัยต่างๆ เช่น ระบบ Parking Assistant Plus ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistant รวมถึงระบบบันเทิงและเชื่อมต่อใหม่ล่าสุด เช่น ระบบ BMW Live Cockpit Professional พร้อมจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบ BMW ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัด และระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ซึ่งเป็นระบบผู้ช่วยส่วนตัวที่สามารถรับคำสั่งจากเสียงพูดในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ยกระดับประสบการณ์ในการขับขี่ให้เป็นส่วนตัวมากกว่าที่เคย

อีกหนึ่งข้อพิสูจน์ของวิสัยทัศน์จากบีเอ็มดับเบิลยูในการก้าวสู่อนาคตแห่งรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ คือ ฟังก์ชั่น Reversing Assistant ซึ่งจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขับขี่ขณะถอยจอดหรือถอยออกจากที่แคบอัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในเซกเมนต์ โดยฟังก์ชั่น Reversing Assistant นี้ เป็นส่วนหนึ่งของระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ Parking Assistant ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถถอยออกจากบริเวณที่มีพื้นที่แคบ เช่น อาคารจอดรถ ทางเลี้ยวเข้า หรือทางตัน ได้อย่างง่ายดายแม้จะมีมุมมองที่จำกัด ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวจะจดจำองศาการเลี้ยวของพวงมาลัยขณะขับเข้าไปยังพื้นที่แคบได้ เป็นระยะทางไกลสูงสุด 50 เมตร ขณะขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 35 กม./ชม. สามารถเริ่มใช้งานโดยกดปุ่ม Reversing Assistant ขณะจอดนิ่งที่เกียร์ P หลังจากนั้น รถยนต์จะถอยหลังอัตโนมัติตามเส้นทางที่ขับเข้าไปล่าสุด ผู้ขับขี่จะมีหน้าที่เพียงแค่แตะเบรกหรือคันเร่ง โดยความเร็วในการถอยอัตโนมัติจะอยู่ที่ความเร็วสูงสุด 9 กม./ชม. ซึ่งระบบจะสามารถจดจำองศาการเลี้ยวภายในระยะ 50 เมตรสุดท้ายไว้ได้เป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถแม้กระทั่งถอยออกจากที่จอดรถได้แม้จะจอดทิ้งไว้ข้ามคืนหรือเป็นระยะเวลาหลายวัน บีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ยังมาพร้อมกับระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ผู้ช่วยส่วนตัวสุดชาญฉลาดที่พร้อมยกระดับสุนทรียภาพในการขับขี่ทุกเส้นทาง

บีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่มีสีภายนอกให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 สีคือสีดำ Black Sapphire สีดำ Carbon Black สีขาว Mineral White สีน้ำเงิน Phytonic Blue และสีเทา Arctic Grey Brilliant Effect

บีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport ใหม่ ราคา 2,959,000 บาท, บีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport ใหม่ ราคา 3,359,000 บาท

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ มาในดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดตา ตอกย้ำความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ด้วยเส้นสายที่แข็งแกร่งและคมชัด ด้านหน้าของตัวรถมาในรูปลักษณ์ที่ดุดันยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ขึ้นในกรอบที่เชื่อมกับไฟหน้าคู่ LED ทรงเรียวยาวดีไซน์ใหม่ล่าสุด รับกับช่องดักอากาศรูปทรง T เพิ่มความโดดเด่นให้แก่ด้านหน้าของรถ ด้านข้างของตัวรถโดดเด่นด้วยกรอบหน้าต่างดีไซน์แบบ Hofmeister Kink อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูที่ได้รับการออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกับเสา C-pillar มอบมิติไร้ขอบหรูหรายิ่งขึ้น พร้อมด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่เรียวยิ่งขึ้นในรูปทรง L แนวนอนสีหม่นแบบสามมิติ และท่อไอเสียแบบคู่ให้ท้ายรถดูกว้างและสปอร์ตกว่าเดิม

การออกแบบโครงสร้างและเทคโนโลยีแชสซีใหม่ล่าสุดในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 มอบการควบคุมที่เฉียบคมและปราดเปรียวยิ่งขึ้น ผสมผสานทั้งความสปอร์ตและความนุ่มสบายไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยประสิทธิภาพของชุดเบรกที่เหนือชั้น จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 นอกจากนี้ ตัวรถยังมีน้ำหนักที่เบาลงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 55 กก. จากการใช้วัสดุอลูมิเนียมในชิ้นส่วนและโครงสร้างต่างๆ เช่น กระโปรงและกันชนหน้า ส่วนการออกแบบด้านอากาศพลศาสตร์ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ช่วยเสริมสมรรถนะการขับขี่ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศต่ำ 0.26 ลดลง 0.03 จากรุ่นก่อนหน้า ทั้งจากระบบ Active Air Flap แผ่นปิดด้านในกระจังหน้าไตคู่เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด และการจัดระเบียบทิศทางการไหลของอากาศผ่าน Air Curtains ที่ช่วยลดแรงเสียดทานอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนล่าสุด มอบพละกำลัง 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ แรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ จากเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบของบีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ส่งกำลัง 258 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบ แรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,550 – 4,400 รอบ เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. โดยทั้งสองรุ่นรองรับระบบ Driving Experience Control ที่มีรูปแบบการขับขี่ให้เลือกทั้งในโหมด COMFORT, SPORT และ ECO PRO

บีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport ใหม่ มาพร้อมล้ออัลลอย 18 นิ้วลาย V Spoke และชุดแต่ง BMW Individual high-gloss Shadow Line ด้วยขอบหน้าต่าง ขอบช่องดักอากาศ และซี่บริเวณกระจังหน้าไตคู่สีดำเงาเช่นเดียวกับภายใน ซึ่งตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมลาย Mesheffect พร้อมพวงมาลัยและที่นั่งด้านหน้าแบบสปอร์ต ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport โดดเด่นด้วยชุดแต่ง M Sport ที่ช่วยเสริมทั้งรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวและสมรรถนะปราดเปรียว ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่าง ชุดเบรก และชุดแอโรไดนามิคส์ แบบ M Sport ล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้วลาย Double Spoke และพวงมาลัยหนังแท้ M ภายในตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียม Tetragon

ส่วนห้องโดยสารได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นหัวใจสำคัญ พร้อมแผงหน้าปัดและจอ Control Display ในดีไซน์ใหม่ สะดวกสบายด้วยพื้นที่ด้านหน้าและด้านหลังที่กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมถึงพื้นที่จุสัมภาระ 480 ลิตร เบาะนั่งสามารถพับได้แบบ 40:20:40 บรรยากาศหรูหราด้วยไฟ ambient light และระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 ตอน

นอกจากระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ที่ติดตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport และทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบ BMW Live Cockpit Professional แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistant) ในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport ระบบเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control) ในบีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport รวมถึงระบบการเชื่อมต่อ BMW ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่ออย่างไรขีดจำกัด และระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายใน บีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport

บีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ใหม่ ราคา 3,999,000 บาท, บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i ใหม่ ราคา 4,999,000 บาท

รถสปอร์ตโรดสเตอร์สุดคลาสสิก บีเอ็มดับเบิลยู Z4 พร้อมแล้วที่จะกลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโฉมใหม่ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งกว่า ผสมผสานทั้งรูปลักษณ์ที่สะท้อนทุกชั่วขณะของความเพลิดเพลินบนท้องถนน ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยบรรยากาศสุดหรูหราในห้องโดยสาร และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

งานออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นโรดสเตอร์พันธุ์แท้ด้วยตัวถังเปิดประทุน แบบสองที่นั่ง พร้อมหลังคาผ้าใบที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า สามารถเปิด-ปิดได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลาเพียง 10 วินาที และรองรับการเปิด-ปิดขณะขับขี่ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนกระจังหน้าทรงไตคู่มาในดีไซน์ใหม่แบบตะแกรง เสริมกลิ่นอายความสปอร์ตคู่กันไปกับกระโปรงหน้าทรงยาว ไฟหน้า LED ที่จัดเรียงในแนวตั้ง และช่องรับลมขนาดใหญ่บริเวณซุ้มล้อหน้า ขณะที่ส่วนท้ายรถก็ขับเน้นบุคลิกสุดโฉบเฉี่ยวด้วยสปอยเลอร์ที่ผนึกมาเป็นส่วนหนึ่งของฝากระโปรงท้าย ซึ่งซ่อนพื้นที่เก็บของที่มีความจุถึง 281 ลิตร มากกว่าในรุ่นก่อนหน้าถึง 50%

บีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ มีให้เลือกเป็นเจ้าของในสองรุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้พละกำลัง 258 แรงม้า และเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.4 วินาที ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เสริมความแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบที่ส่งพลัง 340 แรงม้า ลงสู่ล้อหลัง เร่งความเร็ว 0-100 ได้ภายใน 4.5 วินาที ขณะที่ระบบ Driving Experience Control ในทั้งสองรุ่น สามารถปรับแต่งลักษณะการขับขี่ให้ตรงกับทุกความต้องการ นับจากการโลดแล่นบนท้องถนนในวันสบายๆ ในโหมด COMFORT ไปจนถึงความแม่นยำและเฉียบคมสไตล์สปอร์ตในโหมด SPORT และ SPORT+

ทุกสัดส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเสริมความคล่องแคล่วและเพรียวลมบนท้องถนน กระจายน้ำหนักสู่ล้อหน้าและล้อหลังที่อัตราส่วน 50:50 โดยบีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i

M Sport เสริมความโฉบเฉี่ยวจากทุกมุมมองด้วยชุดแต่ง M Sport รอบคัน เบาะนั่งหนังแท้ Vernasca พวงมาลัยหนังแท้ แผงคอนโซลวัสดุ Sensatec และห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Quartz Silver ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เติมความดุดันด้วยระบบช่วงล่างสมรรถนะสูง Adaptive M Suspension ระบบเบรก M Sport เบาะนั่ง M Sport หนังแท้ Vernasca พร้อมพวงมาลัยหนังแท้ดีไซน์ M และเข็มขัดนิรภัยลาย M แผงคอนโซลวัสดุ Sensatec และชุดเครื่องเสียงแบบเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon

ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ครบครันกว่ารถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นไหนๆ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจบนทุกเส้นทาง ล้ำสมัยขึ้นไปอีกขั้นด้วยระบบควบคุมความเร็วคงที่ Active Cruise Control พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go โดยระบบเซ็นเซอร์ 3 ตัวจะใช้คลื่นเรดาร์สแกนถนนข้างหน้าในระยะ 150 เมตร เพื่อรักษาระยะห่างที่คงที่จากรถคันหน้า ส่วนฟังก์ชั่น Stop & Go จะสามารถควบคุมการเร่ง รักษาความเร็ว และเบรกจนรถหยุดนิ่งได้ อีกทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์ให้แบบอัตโนมัติ หลังจากเครื่องยนต์ดับไปในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ในช่วงเวลารถติด และเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว ก็สามารถเร่งความเร็วตามคันหน้าไปได้โดยอัตโนมัติ ขณะที่ระบบ BMW Live Cockpit Professional มาพร้อมกับแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลล้วน และหน้าจอทัชสกรีนขนาด 10.25 นิ้วที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ซึ่งรองรับการปรับแต่งทุกคุณสมบัติให้เข้ากับการใช้งานจริงของผู้ขับขี่ และทำงานประสานเป็นหนึ่งกับบริการ BMW ConnectedDrive เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกจังหวะ ทั้งยังรองรับการอัพเดทซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในอนาคต นอกจากนี้ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ใหม่ และบีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i ใหม่ ยังรองรับระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง เพื่อความสะดวกสบายของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น

ยกระดับสุนทรียภาพในการขับขี่ ด้วยระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant พร้อมรองรับคำสั่งภาษาไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 เป็นต้นไป ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู จะพบกับความสะดวกสบายที่เหนือกว่าด้วยระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ผู้ช่วยส่วนตัวฉลาดล้ำ ที่พร้อมทำงาน เพียงแค่ทักด้วยประโยค “Hey BMW” (สวัสดี บีเอ็มดับเบิลยู) ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ใหม่และอีกหนึ่งก้าวสำคัญในโลกยานยนต์ เมื่อผู้ขับขี่สามารถควบคุม และใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ในรถยนต์ได้อย่างครบวงจรมากขึ้น เพียงแค่สั่งงานด้วยเสียง

ระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ติดตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 และทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบ BMW Live Cockpit Professional ความสามารถของระบบผู้ช่วยส่วนตัวนั้นพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งใช้งานมาก ผู้ช่วยส่วนตัวก็จะรู้ใจมากขึ้น โดยตัวระบบใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม จาก Open Mobility Cloud ของบีเอ็มดับเบิลยู ร่วมกับนวัตกรรมอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดังนั้น ฟังก์ชั่นต่างๆ และความสามารถของผู้ช่วยส่วนตัวจึงรองรับการอัพเกรดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติและรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต

ระบบผู้ช่วยส่วนตัวพร้อมรับคำสั่งจากเสียงพูดในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ ใกล้เคียงกับบทสนทนาในชีวิตประจำวัน พ่วงด้วยฟังก์ชั่นอันชาญฉลาดอีกมากมาย ระบบสามารถเรียนรู้และจดจำกิจวัตรประจำวันและความชอบส่วนตัวของผู้ขับขี่ได้ ก่อนจะนำมาปรับใช้งานอย่างถูกต้อง แม่นยำ เช่น หากผู้ขับขี่รู้สึกว่าอุณหภูมิในตัวรถหนาวเกินไป ก็สามารถพูดออกคำสั่งว่า “Hey BMW, I’m cold” เพื่อให้ระบบปรับการทำงานของระบบปรับอากาศให้เหมาะสม ทั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูได้พัฒนาให้ระบบผู้ช่วยส่วนตัวนี้ สามารถอัพเกรดเพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติและรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต

การเปิดตัวระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ในครั้งนี้ ยังเสมือนเป็นการพาผู้เชี่ยวชาญ ที่รู้ลึก รู้จริงเรื่องรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูขึ้นรถคู่ใจไปกับผู้ขับขี่ทุกขณะ เพราะผู้ขับสามารถถามคำถามพื้นฐาน ตั้งแต่วิธีใช้งานระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ ไปจนถึงคำถามที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในการขับขี่ เช่น ระดับน้ำมัน และระยะทางที่สามารถขับต่อไปได้ ระบบ BMW Intelligent Personal Assistant จึงเป็นระบบผู้ช่วยส่วนตัวที่ครบเครื่อง เติมสุนทรียภาพให้กับประสบการณ์อันเหนือระดับในการขับขี่บีเอ็มดับเบิลยูในชีวิตประจำวัน

ซิงเกิลล่าสุด ‘Be My World’ โลกอีกใบที่สะท้อนตัวตนหลากสไตล์ของบีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย พร้อมสร้างปรากฏการณ์แห่งเสียงดนตรีผ่านซิงเกิลสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ‘Be My World’ บทเพลงที่ถ่ายทอดผ่านสามศิลปินนักร้องที่มีสไตล์หลากหลาย สะท้อนถึงคาแร็คเตอร์ของ รถบีเอ็มดับเบิลยูที่แตกต่างกัน ถือเป็นการโคจรมาบรรจบกันของโลกดนตรีกับอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างลงตัว

เพลง Be My World นั้นมีกลิ่นอายของดนตรีแนวดิสโก้สนุกๆ ที่ผสมผสานสไตล์ฟังก์และโซลเข้าไว้ด้วยกัน การดึงศิลปินแถวหน้าของเมืองไทยถึง 3 คน อย่าง ป๊อด ธนชัย อุชชิน ศิลปินที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและพร้อมเดินตามฝันในแบบฉบับของตนเอง สะท้อนคาแร็คเตอร์ของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ส่วน Daboyway ศิลปินที่มีสไตล์โดดเด่น เต็มเปี่ยมด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ ไปด้วยกันได้ดีกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ปิดท้ายด้วยหญิงสาวเสียงดี มาเรียม เกรย์ อัลคาลาลี่ ผู้ที่จะทำให้ทุกเมโลดี้ กลายเป็นบทเพลงแห่งตำนาน พร้อมเปล่งเสียงอันทรงพลังที่เข้ากันกับความหรูหรา และความสง่างามของบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ ซึ่งการรวมตัวกันในครั้งนี้ทำให้แต่ละท่อนของเพลง Be My World มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป ฟังและดาวน์โหลดเพลง ‘Be My World’ ได้ผ่านทาง Spotify, JOOX และ Apple Music โดยสามารถรับชมมิวสิควิดีโอได้ทาง YouTube ที่ช่อง BMW Thailand ในวันที่ 28 มีนาคม ศกนี้

ไฮไลท์รถยนต์มินิในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ 2019 มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี (60 Years Edition) รุ่น 3 ประตู ราคา 2,900,000 บาท, รุ่น 5 ประตู ราคา 2,940,000 บาท

ปี 2562 นี้ นับเป็นปีที่ 60 แห่งประวัติศาสตร์ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของมินิ รถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ครองใจแฟน ๆ ทั่วโลก และเพื่อเป็นเริ่มต้นศักราชแห่งการเฉลิมฉลองนี้ มินิได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นพิเศษ มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี ที่มาในดีไซน์สุดคลาสสิก ตามสไตล์มินิแบบเรโทรที่เฉพาะตัวไม่ซ้ำใคร

ดีไซน์ภายนอกของ มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี มาในโทนสีพิเศษ สีเขียว British Racing Green ที่ดูสว่างขึ้น ตัดด้วยสีหลังคาและกระจกมองข้างสีใหม่ Pepper White สะกดทุกสายตาบนท้องถนน รอบคันโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ 60 ปี ตกแต่งเส้นสายบนฝากระโปรงหน้าด้านซ้าย กรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง กาบบันได รวมถึงไฟ LED ฉายสัญลักษณ์ 60 ปี จากประตูคนขับ นอกจากนี้ ยังสร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วในลาย 60 ปี 2 สีสุดพิเศษ และยังคงประกาศตัวตนแห่งสัญชาติอังกฤษด้วยไฟท้าย LED ลายธงยูเนียนแจ็คอันเฉพาะตัวของมินิ

ภายในห้องโดยสารของมินิรุ่นพิเศษนี้ ยังโดดเด่นด้วยการตกแต่งที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาเฉพาะเพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี โดยมีโลโก้ 60 ปีปรากฏบนพวงมาลัยและบนที่นั่งด้านหน้า ซึ่งเป็นเบาะหนัง MINI Yours Leather Lounge 60 Years สี Dark Maroon ตัดกับตะเข็บสีเขียวเข้ากับสีตัวถังสุดพิเศษนี้ พร้อมด้วยไฟเรืองแสงที่แผงคอนโซลลาย MINI Yours Interior Surface 60 Year เสริมความพิเศษให้มินิรุ่นนี้แบบเอ็กซ์คลูซีฟ

มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี มาพร้อมด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ให้พละกำลัง 192 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,600 รอบ ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic คลัทช์คู่ 7 จังหวะ ทำความเร็วสูงสุดได้ 235 กม./ชม. เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 6.7 วินาที สำหรับมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู พร้อมด้วยเทคโนโลยีการขับขี่และระบบความปลอดภัยล้ำสมัยเพื่อมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง

สามารถดูข้อมูลและรูปภาพเพิ่มเติมของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิได้ที่ http://tinyurl.com/BMWMotorShow2019 หรือสแกน QR Code

ข้อเสนอพิเศษในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40 ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูที่จองรถยนต์ภายในงานและรับส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2562 จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้ 1. เมื่อซื้อแพคเกจ BSI Ultimate ฟรี การขยายระยะเวลาบำรุงรักษา จาก 5 ปี / 100,000 กม. เป็น 6 ปี / 120,000 กม. และขยายโปรแกรมการรับประกันเพิ่มเป็น 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ครอบคลุมสมาชิกภาพ BMW Mobility Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ เป็นระยะเวลา 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง, 2. สำหรับผู้ที่จองรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่น ฟรี ประกันรถยนต์ชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี, 3. ดาวน์ 0% เมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน BMW Freedom Choice

สำหรับลูกค้ามินิที่ทำการจองรถยนต์ภายในงาน และรับส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2562

จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้ 1. การยกระดับ MSI Standard จากระยะเวลาบำรุงรักษา 3 ปี / 60,000 กม. เป็น 10 ปี / 100,000 กม. (เฉพาะมินิ คูเปอร์ แฮทช์ 3 ประตู 5 ประตู, มินิ คูเปอร์ ดี 3 ประตู 5 ประตู และ มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน) ซึ่งครอบคลุมโปรแกรมการรับประกัน และสมาชิกภาพ MINI Mobility Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ เป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง, 2. สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มินิทุกรุ่น รับฟรีร่ม MINI

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย แสดงศักยภาพความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับพรีเมียม ด้วยการยกทัพรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เข้าร่วมงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40 ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2562 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี

นำขบวนโดยบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ ใหญ่ที่สุดในตระกูล X ตำนานบทใหม่ของรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ที่ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 7 ของที่สุดแห่งยนตรกรรม พร้อมการกลับมาของตำนานโรดสเตอร์ตัวจริงอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู Z4 พร้อมให้ผู้ชื่นชอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้สัมผัสกับทัพยนตรกรรมใหม่อย่างใกล้ชิด และเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้เปิดตัวระบบผู้ช่วยส่วนตัวฉลาดล้ำ BMW Intelligent Personal Assistant ที่สามารถรับคำสั่งจากเสียงพูดในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ พ่วงด้วยฟังก์ชั่นอันชาญฉลาดอีกมากมาย

นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ยังมาเสริมทัพด้วยมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS Adventure พร้อมการเพิ่มฟีเจอร์และสีใหม่ในบีเอ็มดับเบิลยู C 400 X บีเอ็มดับเบิล R nineT

บีเอ็มดับเบิลยู R nineT Scrambler และบีเอ็มดับเบิลยู K 1600 Grand America ด้านมินิ ก็เตรียมต้อนรับแฟน ๆ อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัวของมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี ครั้งแรกในเอเชีย

มร.คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เป็นโอกาสหนึ่งที่สำคัญในการตอกย้ำความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู ในการสร้างสุดยอดยนตรกรรมเพื่อสุนทรียภาพในการขับขี่ที่แท้จริง เน้นย้ำถึงความเป็นผู้นำของบีเอ็มดับเบิลยูด้านยนตรกรรมหรูหราเหนือระดับ เทคโนโลยีทางวิศวกรรม รวมไปถึงความเป็นผู้นำในระบบดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อผู้ขับขี่และรถยนต์เข้ากับบริการด้านต่างๆ เพื่อร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์สู่วิสัยทัศน์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน สอดคล้องกับงานในปีนี้ที่จัดขึ้นตามแนวคิด ‘สุนทรียภาพทางอารมณ์’ หรือ ‘Enjoyment of Automobiles’ ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำยุค เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับสุนทรีย์แห่งการขับขี่หลังพวงมาลัยรถบีเอ็มดับเบิลยู การเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ในปีนี้ ในฐานะยนตรกรรมอันเป็นที่สุดของตระกูล X และเป็นรุ่นที่ใหญ่ โออ่าที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยผลิตมา สะท้อนถึงมรดกแห่งความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ที่สืบทอดกันมาตลอด 100 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ด้วยความหรูหราที่เหนือระดับและสมรรถนะอันเต็มเปี่ยมบนทุกเส้นทาง นอกจากนี้ เรายังรู้สึกยินดีที่ได้นำบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ใหม่ และ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ มาเพื่อพิสูจน์ถึงความล้ำสมัย ทั้งในด้านเอกลักษณ์แห่งการออกแบบ สมรรถนะที่ปราดเปรียว ประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับ รวมถึงนวัตกรรมล้ำยุค ที่ครองใจแฟนๆ มาทุกยุคทุกสมัย เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับยิ่งขึ้น อันเป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู”

“อีกหนึ่งสุนทรียภาพที่บีเอ็มดับเบิลยูนำมามอบให้กับแฟนๆ ชาวไทยในปีนี้คือการเปิดตัวซิงเกิลล่าสุด Be My World ซึ่งถ่ายทอดผ่านสามศิลปินนักร้องที่มีสไตล์หลากหลาย สะท้อนถึงคาแร็คเตอร์ของรถบีเอ็มดับเบิลยูที่แตกต่างกัน เชื่อว่าลูกค้าและผู้ที่หลงใหลในแบรนด์ของเราจะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของบีเอ็มดับเบิลยูหลากรูปแบบผ่านบทเพลงนี้อย่างแน่นอน” มร.คริสเตียน กล่าวเพิ่มเติม

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคว้ารางวัล “Car & Bike of the Year 2018” มาครองถึง 13 รางวัล สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดหลากหลายรุ่น

ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2019

บีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่ ราคา 8,999,000 บาท

นิยามใหม่แห่งความหรูหราในเซกเมนต์รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (SAV) อย่างบีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่ พร้อมที่จะมาทำสร้างตำนานบทใหม่อันสุดเร้าใจให้แฟนๆ ชาวไทยด้วยการผสานความล้ำสมัยและความคล่องตัวในดีไซน์ที่แปลกใหม่เข้าไว้ด้วยกัน โดดเด่นด้วยมิติรถที่กว้างขวางโอ่อ่าที่สุดในตระกูล X พร้อมด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และรูปลักษณ์ที่สะกดทุกสายตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ทรงแนวตั้งขนาดใหญ่ กระจกบานกว้าง ความสูงของรถ ไปจนถึงการถ่ายทอดพลังผ่านทรวดทรงหลังคาที่ลาดยาว ตอบโจทย์ความหรูหรา ควบคู่ไปกับเอกลักษณ์ที่พร้อมเปิดมิติใหม่แห่งความโฉบเฉี่ยวในทุกเส้นทาง

บีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี M Performance TwinPower Turbo ที่ส่งพละกำลัง 294 400 แรงม้า แรงบิด 760 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 3,000 รอบ ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. สมรรถนะของบีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d สร้างความประทับใจได้อย่างโดดเด่นด้วยการส่งพละกำลังจากชุดเทอร์โบแบบหลายสเตจ ซึ่งประกอบด้วยชุดอัดอากาศแบบความดันต่ำ 2 ตัว และแบบความดันสูง 2 ตัว ทำให้เรียกพละกำลังได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ไม่สะดุด ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ รวมทั้งระบบช่วงล่างแบบถุงลมสามารถปรับระดับอัตโนมัติ คล่องตัวด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้อย่างแม่นยำและง่ายดาย มอบความสะดวกสบายในการขับขี่ทุกสภาพถนน สมกับสมรรถนะที่แข็งแกร่งของ SAV คันนี้อย่างแท้จริง ขณะที่เทคโนโลยีแชสซีใหม่ล่าสุดพร้อมระบบควบคุมช่วงล่าง Executive Drive Pro ยังช่วยมอบการควบคุมที่เฉียบคมและปราดเปรียวยิ่งขึ้น

บีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่มาพร้อมกับท่อไอเสียในสไตล์ M Sport เสริมจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตด้วยเสียงดุดัน สร้างความเร้าใจในการขับขี่ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามในแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู

แม้ว่าบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่จะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ใหญ่และโอ่อ่า แต่เส้นสายการออกแบบนั้น ถ่ายทอดออกมาในสไตล์ที่ปราดเปรียวและคล่องตัว เน้นองค์ประกอบของความประณีตและความเรียบง่าย กระจังหน้าทรงไตคู่ทรงแนวตั้งขนาดใหญ่ รวมไปถึงระบบไฟหน้า BMW Laserlight สร้างเอกลักษณ์ให้รถยนต์รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี ส่วนล้ออัลลอย BMW Individual ขนาด 22 นิ้ว ลาย Y-spoke สวยสะดุดตาจากทุกมุม ขับเน้นให้บีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ ดูทรงพลังและภูมิฐานมากขึ้น

ห้องโดยสารภายในของบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ สะท้อนนิยามของความหรูหราสง่างามที่มาบรรจบกับการออกแบบเหนือกาลเวลา และความสะดวกสบายเหนือระดับ ด้วยห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ ออกแบบให้รองรับเบาะนั่งแบบ 3 แถว จุผู้โดยสารได้สูงสุด 7 คน โดยทุกที่นั่งสามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า มอบความสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เบาะที่นั่งบุด้วยหนังแท้ Merino เนื้อละเอียดจาก BMW Individual หรูหราขึ้นไปอีกขั้นด้วยการตกแต่งห้องโดยสารด้วยลายไม้สีดำเงา ให้บรรยากาศในสไตล์เรียบหรู ส่วนห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีปริมาตรความจุ 326 ลิตร และเพิ่มได้สูงสุด 750 ลิตร หรือ 2,120 ลิตร เมื่อพับเบาะแถว 3 และแถว 2 ตามลำดับ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ในชีวิตประจำวันและผู้ที่รักการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ความหรูหราในห้องโดยสารนั้นยังเสริมด้วยวัสดุตกแต่งผลึกแก้ว ‘CraftedClarity’ พร้อมชุดไฟ Ambient light ชุดไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร เพดานกระจกใสพาโนรามาแบบ Sky Lounge ที่เพิ่มความโปร่งอย่างโอ่อ่าเหนือระดับ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน พร้อมมอบความปลอดภัยและความสะดวกสบายจากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ล้ำสมัยต่างๆ เช่น ระบบ Parking Assistant Plus ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistant รวมถึงระบบบันเทิงและเชื่อมต่อใหม่ล่าสุด เช่น ระบบ BMW Live Cockpit Professional พร้อมจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบ BMW ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัด และระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ซึ่งเป็นระบบผู้ช่วยส่วนตัวที่สามารถรับคำสั่งจากเสียงพูดในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ยกระดับประสบการณ์ในการขับขี่ให้เป็นส่วนตัวมากกว่าที่เคย

อีกหนึ่งข้อพิสูจน์ของวิสัยทัศน์จากบีเอ็มดับเบิลยูในการก้าวสู่อนาคตแห่งรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ คือ ฟังก์ชั่น Reversing Assistant ซึ่งจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขับขี่ขณะถอยจอดหรือถอยออกจากที่แคบอัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในเซกเมนต์ โดยฟังก์ชั่น Reversing Assistant นี้ เป็นส่วนหนึ่งของระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ Parking Assistant ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถถอยออกจากบริเวณที่มีพื้นที่แคบ เช่น อาคารจอดรถ ทางเลี้ยวเข้า หรือทางตัน ได้อย่างง่ายดายแม้จะมีมุมมองที่จำกัด ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวจะจดจำองศาการเลี้ยวของพวงมาลัยขณะขับเข้าไปยังพื้นที่แคบได้ เป็นระยะทางไกลสูงสุด 50 เมตร ขณะขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 35 กม./ชม. สามารถเริ่มใช้งานโดยกดปุ่ม Reversing Assistant ขณะจอดนิ่งที่เกียร์ P หลังจากนั้น รถยนต์จะถอยหลังอัตโนมัติตามเส้นทางที่ขับเข้าไปล่าสุด ผู้ขับขี่จะมีหน้าที่เพียงแค่แตะเบรกหรือคันเร่ง โดยความเร็วในการถอยอัตโนมัติจะอยู่ที่ความเร็วสูงสุด 9 กม./ชม. ซึ่งระบบจะสามารถจดจำองศาการเลี้ยวภายในระยะ 50 เมตรสุดท้ายไว้ได้เป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถแม้กระทั่งถอยออกจากที่จอดรถได้แม้จะจอดทิ้งไว้ข้ามคืนหรือเป็นระยะเวลาหลายวัน บีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ยังมาพร้อมกับระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ผู้ช่วยส่วนตัวสุดชาญฉลาดที่พร้อมยกระดับสุนทรียภาพในการขับขี่ทุกเส้นทาง

บีเอ็มดับเบิลยู X7 M50d ใหม่มีสีภายนอกให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 สีคือสีดำ Black Sapphire สีดำ Carbon Black สีขาว Mineral White สีน้ำเงิน Phytonic Blue และสีเทา Arctic Grey Brilliant Effect

บีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport ใหม่ ราคา 2,959,000 บาท, บีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport ใหม่ ราคา 3,359,000 บาท

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ มาในดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดตา ตอกย้ำความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ด้วยเส้นสายที่แข็งแกร่งและคมชัด ด้านหน้าของตัวรถมาในรูปลักษณ์ที่ดุดันยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ขึ้นในกรอบที่เชื่อมกับไฟหน้าคู่ LED ทรงเรียวยาวดีไซน์ใหม่ล่าสุด รับกับช่องดักอากาศรูปทรง T เพิ่มความโดดเด่นให้แก่ด้านหน้าของรถ ด้านข้างของตัวรถโดดเด่นด้วยกรอบหน้าต่างดีไซน์แบบ Hofmeister Kink อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูที่ได้รับการออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกับเสา C-pillar มอบมิติไร้ขอบหรูหรายิ่งขึ้น พร้อมด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่เรียวยิ่งขึ้นในรูปทรง L แนวนอนสีหม่นแบบสามมิติ และท่อไอเสียแบบคู่ให้ท้ายรถดูกว้างและสปอร์ตกว่าเดิม

การออกแบบโครงสร้างและเทคโนโลยีแชสซีใหม่ล่าสุดในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 มอบการควบคุมที่เฉียบคมและปราดเปรียวยิ่งขึ้น ผสมผสานทั้งความสปอร์ตและความนุ่มสบายไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยประสิทธิภาพของชุดเบรกที่เหนือชั้น จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 นอกจากนี้ ตัวรถยังมีน้ำหนักที่เบาลงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 55 กก. จากการใช้วัสดุอลูมิเนียมในชิ้นส่วนและโครงสร้างต่างๆ เช่น กระโปรงและกันชนหน้า ส่วนการออกแบบด้านอากาศพลศาสตร์ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ช่วยเสริมสมรรถนะการขับขี่ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศต่ำ 0.26 ลดลง 0.03 จากรุ่นก่อนหน้า ทั้งจากระบบ Active Air Flap แผ่นปิดด้านในกระจังหน้าไตคู่เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด และการจัดระเบียบทิศทางการไหลของอากาศผ่าน Air Curtains ที่ช่วยลดแรงเสียดทานอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนล่าสุด มอบพละกำลัง 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ แรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ จากเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบของบีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ส่งกำลัง 258 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบ แรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,550 – 4,400 รอบ เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. โดยทั้งสองรุ่นรองรับระบบ Driving Experience Control ที่มีรูปแบบการขับขี่ให้เลือกทั้งในโหมด COMFORT, SPORT และ ECO PRO

บีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport ใหม่ มาพร้อมล้ออัลลอย 18 นิ้วลาย V Spoke และชุดแต่ง BMW Individual high-gloss Shadow Line ด้วยขอบหน้าต่าง ขอบช่องดักอากาศ และซี่บริเวณกระจังหน้าไตคู่สีดำเงาเช่นเดียวกับภายใน ซึ่งตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมลาย Mesheffect พร้อมพวงมาลัยและที่นั่งด้านหน้าแบบสปอร์ต ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport โดดเด่นด้วยชุดแต่ง M Sport ที่ช่วยเสริมทั้งรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวและสมรรถนะปราดเปรียว ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่าง ชุดเบรก และชุดแอโรไดนามิคส์ แบบ M Sport ล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้วลาย Double Spoke และพวงมาลัยหนังแท้ M ภายในตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียม Tetragon

ส่วนห้องโดยสารได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นหัวใจสำคัญ พร้อมแผงหน้าปัดและจอ Control Display ในดีไซน์ใหม่ สะดวกสบายด้วยพื้นที่ด้านหน้าและด้านหลังที่กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมถึงพื้นที่จุสัมภาระ 480 ลิตร เบาะนั่งสามารถพับได้แบบ 40:20:40 บรรยากาศหรูหราด้วยไฟ ambient light และระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 ตอน

นอกจากระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ที่ติดตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport และทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบ BMW Live Cockpit Professional แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistant) ในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport ระบบเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control) ในบีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport รวมถึงระบบการเชื่อมต่อ BMW ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่ออย่างไรขีดจำกัด และระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายใน บีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport

บีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ใหม่ ราคา 3,999,000 บาท, บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i ใหม่ ราคา 4,999,000 บาท

รถสปอร์ตโรดสเตอร์สุดคลาสสิก บีเอ็มดับเบิลยู Z4 พร้อมแล้วที่จะกลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโฉมใหม่ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งกว่า ผสมผสานทั้งรูปลักษณ์ที่สะท้อนทุกชั่วขณะของความเพลิดเพลินบนท้องถนน ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยบรรยากาศสุดหรูหราในห้องโดยสาร และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

งานออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นโรดสเตอร์พันธุ์แท้ด้วยตัวถังเปิดประทุน แบบสองที่นั่ง พร้อมหลังคาผ้าใบที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า สามารถเปิด-ปิดได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลาเพียง 10 วินาที และรองรับการเปิด-ปิดขณะขับขี่ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนกระจังหน้าทรงไตคู่มาในดีไซน์ใหม่แบบตะแกรง เสริมกลิ่นอายความสปอร์ตคู่กันไปกับกระโปรงหน้าทรงยาว ไฟหน้า LED ที่จัดเรียงในแนวตั้ง และช่องรับลมขนาดใหญ่บริเวณซุ้มล้อหน้า ขณะที่ส่วนท้ายรถก็ขับเน้นบุคลิกสุดโฉบเฉี่ยวด้วยสปอยเลอร์ที่ผนึกมาเป็นส่วนหนึ่งของฝากระโปรงท้าย ซึ่งซ่อนพื้นที่เก็บของที่มีความจุถึง 281 ลิตร มากกว่าในรุ่นก่อนหน้าถึง 50%

บีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ มีให้เลือกเป็นเจ้าของในสองรุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้พละกำลัง 258 แรงม้า และเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.4 วินาที ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เสริมความแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบที่ส่งพลัง 340 แรงม้า ลงสู่ล้อหลัง เร่งความเร็ว 0-100 ได้ภายใน 4.5 วินาที ขณะที่ระบบ Driving Experience Control ในทั้งสองรุ่น สามารถปรับแต่งลักษณะการขับขี่ให้ตรงกับทุกความต้องการ นับจากการโลดแล่นบนท้องถนนในวันสบายๆ ในโหมด COMFORT ไปจนถึงความแม่นยำและเฉียบคมสไตล์สปอร์ตในโหมด SPORT และ SPORT+

ทุกสัดส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเสริมความคล่องแคล่วและเพรียวลมบนท้องถนน กระจายน้ำหนักสู่ล้อหน้าและล้อหลังที่อัตราส่วน 50:50 โดยบีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i

M Sport เสริมความโฉบเฉี่ยวจากทุกมุมมองด้วยชุดแต่ง M Sport รอบคัน เบาะนั่งหนังแท้ Vernasca พวงมาลัยหนังแท้ แผงคอนโซลวัสดุ Sensatec และห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Quartz Silver ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เติมความดุดันด้วยระบบช่วงล่างสมรรถนะสูง Adaptive M Suspension ระบบเบรก M Sport เบาะนั่ง M Sport หนังแท้ Vernasca พร้อมพวงมาลัยหนังแท้ดีไซน์ M และเข็มขัดนิรภัยลาย M แผงคอนโซลวัสดุ Sensatec และชุดเครื่องเสียงแบบเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon

ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ครบครันกว่ารถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นไหนๆ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจบนทุกเส้นทาง ล้ำสมัยขึ้นไปอีกขั้นด้วยระบบควบคุมความเร็วคงที่ Active Cruise Control พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go โดยระบบเซ็นเซอร์ 3 ตัวจะใช้คลื่นเรดาร์สแกนถนนข้างหน้าในระยะ 150 เมตร เพื่อรักษาระยะห่างที่คงที่จากรถคันหน้า ส่วนฟังก์ชั่น Stop & Go จะสามารถควบคุมการเร่ง รักษาความเร็ว และเบรกจนรถหยุดนิ่งได้ อีกทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์ให้แบบอัตโนมัติ หลังจากเครื่องยนต์ดับไปในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ในช่วงเวลารถติด และเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว ก็สามารถเร่งความเร็วตามคันหน้าไปได้โดยอัตโนมัติ ขณะที่ระบบ BMW Live Cockpit Professional มาพร้อมกับแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลล้วน และหน้าจอทัชสกรีนขนาด 10.25 นิ้วที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ซึ่งรองรับการปรับแต่งทุกคุณสมบัติให้เข้ากับการใช้งานจริงของผู้ขับขี่ และทำงานประสานเป็นหนึ่งกับบริการ BMW ConnectedDrive เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกจังหวะ ทั้งยังรองรับการอัพเดทซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในอนาคต นอกจากนี้ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ใหม่ และบีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i ใหม่ ยังรองรับระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง เพื่อความสะดวกสบายของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น

ยกระดับสุนทรียภาพในการขับขี่ ด้วยระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant พร้อมรองรับคำสั่งภาษาไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 เป็นต้นไป ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู จะพบกับความสะดวกสบายที่เหนือกว่าด้วยระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ผู้ช่วยส่วนตัวฉลาดล้ำ ที่พร้อมทำงาน เพียงแค่ทักด้วยประโยค “Hey BMW” (สวัสดี บีเอ็มดับเบิลยู) ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ใหม่และอีกหนึ่งก้าวสำคัญในโลกยานยนต์ เมื่อผู้ขับขี่สามารถควบคุม และใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ในรถยนต์ได้อย่างครบวงจรมากขึ้น เพียงแค่สั่งงานด้วยเสียง

ระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ติดตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 และทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบ BMW Live Cockpit Professional ความสามารถของระบบผู้ช่วยส่วนตัวนั้นพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งใช้งานมาก ผู้ช่วยส่วนตัวก็จะรู้ใจมากขึ้น โดยตัวระบบใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม จาก Open Mobility Cloud ของบีเอ็มดับเบิลยู ร่วมกับนวัตกรรมอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดังนั้น ฟังก์ชั่นต่างๆ และความสามารถของผู้ช่วยส่วนตัวจึงรองรับการอัพเกรดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติและรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต

ระบบผู้ช่วยส่วนตัวพร้อมรับคำสั่งจากเสียงพูดในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ ใกล้เคียงกับบทสนทนาในชีวิตประจำวัน พ่วงด้วยฟังก์ชั่นอันชาญฉลาดอีกมากมาย ระบบสามารถเรียนรู้และจดจำกิจวัตรประจำวันและความชอบส่วนตัวของผู้ขับขี่ได้ ก่อนจะนำมาปรับใช้งานอย่างถูกต้อง แม่นยำ เช่น หากผู้ขับขี่รู้สึกว่าอุณหภูมิในตัวรถหนาวเกินไป ก็สามารถพูดออกคำสั่งว่า “Hey BMW, I’m cold” เพื่อให้ระบบปรับการทำงานของระบบปรับอากาศให้เหมาะสม ทั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูได้พัฒนาให้ระบบผู้ช่วยส่วนตัวนี้ สามารถอัพเกรดเพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติและรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต

การเปิดตัวระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ในครั้งนี้ ยังเสมือนเป็นการพาผู้เชี่ยวชาญ ที่รู้ลึก รู้จริงเรื่องรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูขึ้นรถคู่ใจไปกับผู้ขับขี่ทุกขณะ เพราะผู้ขับสามารถถามคำถามพื้นฐาน ตั้งแต่วิธีใช้งานระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ ไปจนถึงคำถามที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในการขับขี่ เช่น ระดับน้ำมัน และระยะทางที่สามารถขับต่อไปได้ ระบบ BMW Intelligent Personal Assistant จึงเป็นระบบผู้ช่วยส่วนตัวที่ครบเครื่อง เติมสุนทรียภาพให้กับประสบการณ์อันเหนือระดับในการขับขี่บีเอ็มดับเบิลยูในชีวิตประจำวัน

ซิงเกิลล่าสุด ‘Be My World’ โลกอีกใบที่สะท้อนตัวตนหลากสไตล์ของบีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย พร้อมสร้างปรากฏการณ์แห่งเสียงดนตรีผ่านซิงเกิลสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ‘Be My World’ บทเพลงที่ถ่ายทอดผ่านสามศิลปินนักร้องที่มีสไตล์หลากหลาย สะท้อนถึงคาแร็คเตอร์ของ รถบีเอ็มดับเบิลยูที่แตกต่างกัน ถือเป็นการโคจรมาบรรจบกันของโลกดนตรีกับอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างลงตัว

เพลง Be My World นั้นมีกลิ่นอายของดนตรีแนวดิสโก้สนุกๆ ที่ผสมผสานสไตล์ฟังก์และโซลเข้าไว้ด้วยกัน การดึงศิลปินแถวหน้าของเมืองไทยถึง 3 คน อย่าง ป๊อด ธนชัย อุชชิน ศิลปินที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและพร้อมเดินตามฝันในแบบฉบับของตนเอง สะท้อนคาแร็คเตอร์ของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ส่วน Daboyway ศิลปินที่มีสไตล์โดดเด่น เต็มเปี่ยมด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ ไปด้วยกันได้ดีกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ปิดท้ายด้วยหญิงสาวเสียงดี มาเรียม เกรย์ อัลคาลาลี่ ผู้ที่จะทำให้ทุกเมโลดี้ กลายเป็นบทเพลงแห่งตำนาน พร้อมเปล่งเสียงอันทรงพลังที่เข้ากันกับความหรูหรา และความสง่างามของบีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ ซึ่งการรวมตัวกันในครั้งนี้ทำให้แต่ละท่อนของเพลง Be My World มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป ฟังและดาวน์โหลดเพลง ‘Be My World’ ได้ผ่านทาง Spotify, JOOX และ Apple Music โดยสามารถรับชมมิวสิควิดีโอได้ทาง YouTube ที่ช่อง BMW Thailand ในวันที่ 28 มีนาคม ศกนี้

ไฮไลท์รถยนต์มินิในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ 2019 มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี (60 Years Edition) รุ่น 3 ประตู ราคา 2,900,000 บาท, รุ่น 5 ประตู ราคา 2,940,000 บาท

ปี 2562 นี้ นับเป็นปีที่ 60 แห่งประวัติศาสตร์ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของมินิ รถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ครองใจแฟน ๆ ทั่วโลก และเพื่อเป็นเริ่มต้นศักราชแห่งการเฉลิมฉลองนี้ มินิได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นพิเศษ มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี ที่มาในดีไซน์สุดคลาสสิก ตามสไตล์มินิแบบเรโทรที่เฉพาะตัวไม่ซ้ำใคร

ดีไซน์ภายนอกของ มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี มาในโทนสีพิเศษ สีเขียว British Racing Green ที่ดูสว่างขึ้น ตัดด้วยสีหลังคาและกระจกมองข้างสีใหม่ Pepper White สะกดทุกสายตาบนท้องถนน รอบคันโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ 60 ปี ตกแต่งเส้นสายบนฝากระโปรงหน้าด้านซ้าย กรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง กาบบันได รวมถึงไฟ LED ฉายสัญลักษณ์ 60 ปี จากประตูคนขับ นอกจากนี้ ยังสร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วในลาย 60 ปี 2 สีสุดพิเศษ และยังคงประกาศตัวตนแห่งสัญชาติอังกฤษด้วยไฟท้าย LED ลายธงยูเนียนแจ็คอันเฉพาะตัวของมินิ

ภายในห้องโดยสารของมินิรุ่นพิเศษนี้ ยังโดดเด่นด้วยการตกแต่งที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาเฉพาะเพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี โดยมีโลโก้ 60 ปีปรากฏบนพวงมาลัยและบนที่นั่งด้านหน้า ซึ่งเป็นเบาะหนัง MINI Yours Leather Lounge 60 Years สี Dark Maroon ตัดกับตะเข็บสีเขียวเข้ากับสีตัวถังสุดพิเศษนี้ พร้อมด้วยไฟเรืองแสงที่แผงคอนโซลลาย MINI Yours Interior Surface 60 Year เสริมความพิเศษให้มินิรุ่นนี้แบบเอ็กซ์คลูซีฟ

มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี มาพร้อมด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ให้พละกำลัง 192 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,600 รอบ ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic คลัทช์คู่ 7 จังหวะ ทำความเร็วสูงสุดได้ 235 กม./ชม. เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 6.7 วินาที สำหรับมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู พร้อมด้วยเทคโนโลยีการขับขี่และระบบความปลอดภัยล้ำสมัยเพื่อมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง

สามารถดูข้อมูลและรูปภาพเพิ่มเติมของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิได้ที่ http://tinyurl.com/BMWMotorShow2019 หรือสแกน QR Code

ข้อเสนอพิเศษในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40 ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูที่จองรถยนต์ภายในงานและรับส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2562 จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้ 1. เมื่อซื้อแพคเกจ BSI Ultimate ฟรี การขยายระยะเวลาบำรุงรักษา จาก 5 ปี / 100,000 กม. เป็น 6 ปี / 120,000 กม. และขยายโปรแกรมการรับประกันเพิ่มเป็น 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ครอบคลุมสมาชิกภาพ BMW Mobility Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ เป็นระยะเวลา 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง, 2. สำหรับผู้ที่จองรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่น ฟรี ประกันรถยนต์ชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี, 3. ดาวน์ 0% เมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน BMW Freedom Choice

สำหรับลูกค้ามินิที่ทำการจองรถยนต์ภายในงาน และรับส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2562

จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้ 1. การยกระดับ MSI Standard จากระยะเวลาบำรุงรักษา 3 ปี / 60,000 กม. เป็น 10 ปี / 100,000 กม. (เฉพาะมินิ คูเปอร์ แฮทช์ 3 ประตู 5 ประตู, มินิ คูเปอร์ ดี 3 ประตู 5 ประตู และ มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน) ซึ่งครอบคลุมโปรแกรมการรับประกัน และสมาชิกภาพ MINI Mobility Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ เป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง, 2. สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มินิทุกรุ่น รับฟรีร่ม MINI

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!