By : C. Methas – Managing Editor
หลังจากผลิตรุ่น B12 Type ในปี ค.ศ. 1926 ซีตรองได้เปิดตัวรุ่น B14 Type ที่งานแสดงรถยนต์ปารีส มอเตอร์โชว์
B14 Type วางเครื่องยนต์ ขนาด 1,538 ซีซี. เบนซิน แบบ 4 สูบแถวเรียง ให้แรงม้าสูงสุด 22 แรงม้า
รูปลักษณ์ภายนอกออกแบบโดย Jules Saloman และเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในช่วงร่วมงานกับซีตรองก่อนที่เขาจะลาออกไปร่วมงานกับค่ายเปอโยต์
ในช่วงซีตรองผลิตรถยนต์รุ่น B14 Type กิจการของซีตรองได้ขยายออกไปมากโดยมีพนักงานถึง 35,000 คนและมีสาขาที่ต่างประเทศรวม 11 แห่งและรถยนต์ของซีตรองผลิตออกมามากถึง 3 แสนคัน
นอกจากนี้ยังมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยการประดับไฟบนหอไอเฟลเป็นตัวอักษร CITROËN ช่วงที่มีการจัดงาน International Exhibition of Decorative Art ซึ่งนับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ระดับนานาชาติในยุคนั้นและการประดับไฟบนหอไอเฟลครั้งนั้นนับว่าเป็นการทำโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยได้รับการรับรองจากกินเน็สบุ๊ค
การประดับไฟบนหอไอเฟลในครั้งนั้นเป็นช่วงที่ Charles Linbergh กำลังทำการบินเหนือน่านฟ้ากรุงปารีสของช่วงเย็นวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1925 เพื่อข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งเป็นการบินครั้งประวัติศาสตร์และหอไอเฟลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขามองเห็นท่ามกลางความมืดของปารีส
หลังจากก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ของอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งฝรั่งเศส ซีตรองได้ขยายกิจการอย่างรวดเร็วทั้งการทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์และขยายสาขาไปยังหลายประเทศจนส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านการเงินซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1931 ขณะที่เทคโนโลยี่ของซีตรองนับว่าอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยการซื้อเทคโนโลยี่จากประเทศต่าง ๆ สำหรับกระบวนการผลิตและเทคโนโลยี่เครื่องยนต์จากไครสเลอร์
นอกจากนี้ยังเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ที่มีขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศสยุคนั้นด้วยการเช่าคลังสินค้าของสถานีรถไฟ St. Lazare ประกอบกับการขยายโรงงานผลิตรถยนต์ครั้งใหญ่โดยมีเนื้อที่ 120,000 ตารางเมตร
ในวันเปิดโรงงานได้จัดงานเลี้ยงด้วยการเชิญแขกเข้าร่วมงานกว่า 6,000 คนโดยเงินขยายกิจการโรงงานและขยายสาขาแห่งใหม่เป็นเงินจากการกู้ยืมส่วนใหญ่มาจากค่ายยางมิชิลินแห่งฝรั่งเศส
และในที่สุดกิจการของซีตรองต้องประสบปัญหาจนท้ายที่สุดค่ายมิชิลินได้เข้ามาซื้อกิจการไป แต่ทางซีตรองได้กลับฟื้นมาได้จากความสำเร็จกับรถยนต์รุ่น Traction Avant ซึ่งเป็นรถยนต์ที่โด่งดังอีกรุ่นหนึ่งของซีตรองที่อยู่ในสายการผลิตยาวนานถึง 23 ปี สามารถทำยอดขายได้ราว 760,000 คัน
By : C. Methas - Managing Editor
หลังจากผลิตรุ่น B12 Type ในปี ค.ศ. 1926 ซีตรองได้เปิดตัวรุ่น B14 Type ที่งานแสดงรถยนต์ปารีส มอเตอร์โชว์
B14 Type วางเครื่องยนต์ ขนาด 1,538 ซีซี. เบนซิน แบบ 4 สูบแถวเรียง ให้แรงม้าสูงสุด 22 แรงม้า
รูปลักษณ์ภายนอกออกแบบโดย Jules Saloman และเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในช่วงร่วมงานกับซีตรองก่อนที่เขาจะลาออกไปร่วมงานกับค่ายเปอโยต์
ในช่วงซีตรองผลิตรถยนต์รุ่น B14 Type กิจการของซีตรองได้ขยายออกไปมากโดยมีพนักงานถึง 35,000 คนและมีสาขาที่ต่างประเทศรวม 11 แห่งและรถยนต์ของซีตรองผลิตออกมามากถึง 3 แสนคัน
นอกจากนี้ยังมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยการประดับไฟบนหอไอเฟลเป็นตัวอักษร CITROËN ช่วงที่มีการจัดงาน International Exhibition of Decorative Art ซึ่งนับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ระดับนานาชาติในยุคนั้นและการประดับไฟบนหอไอเฟลครั้งนั้นนับว่าเป็นการทำโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยได้รับการรับรองจากกินเน็สบุ๊ค
การประดับไฟบนหอไอเฟลในครั้งนั้นเป็นช่วงที่ Charles Linbergh กำลังทำการบินเหนือน่านฟ้ากรุงปารีสของช่วงเย็นวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1925 เพื่อข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งเป็นการบินครั้งประวัติศาสตร์และหอไอเฟลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขามองเห็นท่ามกลางความมืดของปารีส
หลังจากก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ของอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งฝรั่งเศส ซีตรองได้ขยายกิจการอย่างรวดเร็วทั้งการทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์และขยายสาขาไปยังหลายประเทศจนส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านการเงินซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1931 ขณะที่เทคโนโลยี่ของซีตรองนับว่าอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยการซื้อเทคโนโลยี่จากประเทศต่าง ๆ สำหรับกระบวนการผลิตและเทคโนโลยี่เครื่องยนต์จากไครสเลอร์
นอกจากนี้ยังเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ที่มีขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศสยุคนั้นด้วยการเช่าคลังสินค้าของสถานีรถไฟ St. Lazare ประกอบกับการขยายโรงงานผลิตรถยนต์ครั้งใหญ่โดยมีเนื้อที่ 120,000 ตารางเมตร
ในวันเปิดโรงงานได้จัดงานเลี้ยงด้วยการเชิญแขกเข้าร่วมงานกว่า 6,000 คนโดยเงินขยายกิจการโรงงานและขยายสาขาแห่งใหม่เป็นเงินจากการกู้ยืมส่วนใหญ่มาจากค่ายยางมิชิลินแห่งฝรั่งเศส
และในที่สุดกิจการของซีตรองต้องประสบปัญหาจนท้ายที่สุดค่ายมิชิลินได้เข้ามาซื้อกิจการไป แต่ทางซีตรองได้กลับฟื้นมาได้จากความสำเร็จกับรถยนต์รุ่น Traction Avant ซึ่งเป็นรถยนต์ที่โด่งดังอีกรุ่นหนึ่งของซีตรองที่อยู่ในสายการผลิตยาวนานถึง 23 ปี สามารถทำยอดขายได้ราว 760,000 คัน