The Legends of Automobile-ตอนที่ 118 ขุดกรุ “รถม้าศึก” ต้นกำเนิดยานยนต์การสงคราม


By : C. Methas – Managing Editor

วิวัฒนาการของการกำเนิดรถยนต์มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 5,000 ปีก่อนโดยเริ่มแรกได้นำม้ามาเทียมรถลากที่ยังไม่มีล้อ ต่อมาได้นำม้ามาเทียมรถลากที่มีล้อและได้พัฒนามาเป็นเกวียนในเวลาต่อมาซึ่งใช้เวลาในการพัฒนาเป็นเวลาหลายร้อยปีเลยทีเดียว

การนำม้ามาเทียมรถลากได้มีการคัดสรรม้าสายพันธ์ดีซึ่งม้าสายพันธ์ที่ดีที่สุดจะถูกนำไปเทียมรถม้าศึกซึ่งต้องมีความแข็งแกร่ง, ว่องไวและมีความอดทนสูงมาก พื้นฐานของม้าแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ประกอบด้วย

1.ม้าเลือดร้อนที่มีกำเนิดแถบทะเลทรายในตะวันออกกลางที่มีอากาศร้อนจัดและที่ราบในเอเชียใต้ตอนเหนือ ม้าในกลุ่มนี้มีรูปร่างใหญ่โต ปราดเปรียวซึ่งได้นำมาเป็นม้าศึก

2. ม้าเลือดเย็นมีถิ่นกำเนิดแถบภูเขาสูงทางยุโรปตอนเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น รูปทรงขนาดใหญ่เช่นกัน ม้ากลุ่มนี้นำมาเป็นม้าศึกเช่นกัน

3. ม้ากลุ่มสุดท้ายเป็นม้ากลุ่มเลือดอุ่น ม้าพันธ์ผสมระหว่างม้าสองสายพันธ์แรก ปัจจุบันนำมาเป็นม้าแข่ง

ในยุคโบราณ ม้าที่นิยมนำมาเป็นม้าศึกเป็นม้าสายพันธ์อาหรับ เนื่องจากมีความตื่นตัวสูง เรียนรู้เร็วและว่องไว นอกจากนี้ยังมีรูปร่างที่ใหญ่โตเหมาะนำมาเป็นม้าศึก ส่วนม้าแกลบที่มีขนาดเล็กเป็นม้าศึกที่คาดไม่ถึงว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแผ่ขยายอาณาจักรของเจ็งกิสซ่านไปกว่าครึ่งค่อนโลก

ม้าแกลบสายพันธ์มองโกลมีรูปร่างเล็ก คล่องตัวสูงมาก ม้าพันธ์นี้มีจุดเด่นที่มีความทนทานต่อทุกสภาพภูมิอากาศ สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกสัมภาระได้มากและทนทานต่อการเดินทางไกลเป็นอย่างยิ่ง นักรบมองโกลนำม้าพันธ์นี้บรรทุกอาวุธยุโธปกรณ์และสัมภาระต่าง ๆ บุกพิชิตอาณาจักรต่าง ๆ ได้สำเร็จ

นอกจากการแสวงหาม้าสายพันธ์ดีสำหรับนำมาเป็นม้าศึกแล้ว การนำม้ามาบรรทุกสัมภาระและลากเกวียนหรือม้าเทียมเกวียนได้มีการพัฒนาเกวียนหรือรถบรรทุกขนาดกะทัดรัดสำหรับออกศึกสงครามซึ่งต้องมีความคล่องตัวสูงสามารถทำความเร็วได้สูงและมีความแข็งแกร่งทนทานซึ่งต่อมารถม้าศึกได้พัฒนาให้เทียมม้าได้หลายตัวเพื่อการบรรทุกสัมภาระได้มากและทำความเร็วสูงขึ้น

นอกจากนี้ยังออกแบบให้สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกสภาพเส้นทางจึงเป็นยุโธปกรณ์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อกองทัพในยุคโบราณซึ่งต่อมาได้พัฒนรถม้าศึกติดอาวุธชนิดต่าง ๆ ออกมาหลายรูปแบบ จนกระทั่งรถม้าศึกกลายเป็นกำลังหลักของกองทัพต่าง ๆ ในยุคโบราณ ตั้งแต่ยุคกรีก, เมโสโปเตเมีย, ฮิตไทต์, บาบิโลน, เปอร์เซีย, อินเดียและจีน

กลุ่มชนฮิตไทต์เป็นชนที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้รถม้าศึกเป็นอย่างมากและได้นำรถม้าศึกเข้าทำศึกกับอียิปต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์จนสามารถคว้าชัยชนะได้ในสมรภูมิคาเดซ รถม้าศึกของชาวฮิตไทต์ได้พัฒนาออกแบบล้อแบบซี่ล้อและมีขนาดใหญ่สามารถบรรทุกกำลังพลได้ 3 คนซึ่งก่อนหน้านี้รถม้าศึกบรรทุกกำลังพลได้เพียง 2 คน ๆ หนึ่งบังคับรถอีกคนใช้อาวุธ

รถม้าศึกได้มีการวิวัฒนาการด้วยการหุ้มเกราะให้กับม้าและตัวรถ นอกจากนี้ยังติดอาวุธไว้รอบ ๆ ตัวรถเพื่อมุ่งทำลายศัตรู แต่การพัฒนารถม้าศึกเป็นอันต้องยุติลงไปเนื่องจากความคล่องตัวและการหยุดรถรวมทั้งการทำความเร็วเทียบกับกองทหารม้าที่มีความคล่องตัวกว่า สามารถเคลื่อนพลไปได้ในทุกสภาพเส้นทาง นอกจากนี้การพัฒนาอาวุธยุคใหม่ ๆ ในการทำลายกองกำลังมีความทันสมัยมากขึ้น

การพัฒนารถม้าศึกก้าวไม่ทันต่อการพัฒนาอุปกรณ์อื่น ๆ จากสภาพของรถม้าศึกเองที่มีล้อขนาดใหญ่ การบังคับเลี้ยวเป็นไปได้ยาก ระบบอัตราทดเกียร์แม้ว่าจะได้มีการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นแต่ยังไม่แพร่หลาย ตัวรถเองก็มีน้ำหนักมากเนื่องจากวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาประดิษฐ์ยังเป็นแบบพื้นฐานไม่ได้พัฒนาในเรื่องของการลดน้ำหนักโดยรถม้าศึกยุคแรกเป็นรถแบบ 4 ล้อหรือเกวียนนั่นเอง

รถม้าศึกได้พัฒนามาเป็นแบบ 2 ล้อเพื่อความคล่องตัวสูงขึ้นประดิษฐ์โดยชาวสุเมเรี่ยน ต่อมาการวิวัฒนาการรถม้าศึกโดยล้อออกแบบเป็นซี่ล้อแตกต่างจากยุคแรกที่ล้อทำจากไม้ตันซึ่งได้พัฒนาจากซี่ล้อจำนวน 4 ซี่ไปเป็น 6-8-9-10 ซี่ล้อตามลำดับซึ่งได้มีการพัฒนาในแถบอะนาโตเลียเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสต์กาลซึ่งตั้งอยู่ในแถบเอเชียไมเนอร์หรือปัจจุบันแถบประเทศตุรกีนั่นเอง

การสูญสลายของรถม้าศึกเนื่องจากพ่ายแพ้ต่อกองทหารม้าในช่วงสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซียในช่วงปีค.ศ. 331 ก่อนคริสต์กาล โดยกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์ของกรีกจากแคว้นมาซิโดเนียซึ่งเป็นได้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคโบราณได้ใช้ยุทธวิธีในการล่อให้กองทัพรถม้าศึกผ่านไปแล้วรุกเข้าตีตลบหลัง

หลักฐานต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ของรถม้าศึกและรถลากมีอยู่หลายแห่งด้วยกันและหลายรูปแบบ ประกอบด้วยภาพวาดที่ฝาผนังในถ้ำของมนุษย์ยุคโบราณที่สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างรถลากมาตั้งแต่หลายพันปีก่อน, เหรียญโบราณและภาพเขียนบนแจกันโบราณที่ขุดค้นพบตามแหล่งอารยธรรมต่าง ๆ ของโลก, และภาพวาดทางประวัติศาสตร์ตามผนังโบสถ์วิหารของอาณาจักรยุคโบราณที่ล่มสลายไปแล้ว

 

By : C. Methas - Managing Editor

วิวัฒนาการของการกำเนิดรถยนต์มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 5,000 ปีก่อนโดยเริ่มแรกได้นำม้ามาเทียมรถลากที่ยังไม่มีล้อ ต่อมาได้นำม้ามาเทียมรถลากที่มีล้อและได้พัฒนามาเป็นเกวียนในเวลาต่อมาซึ่งใช้เวลาในการพัฒนาเป็นเวลาหลายร้อยปีเลยทีเดียว

การนำม้ามาเทียมรถลากได้มีการคัดสรรม้าสายพันธ์ดีซึ่งม้าสายพันธ์ที่ดีที่สุดจะถูกนำไปเทียมรถม้าศึกซึ่งต้องมีความแข็งแกร่ง, ว่องไวและมีความอดทนสูงมาก พื้นฐานของม้าแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ประกอบด้วย

1.ม้าเลือดร้อนที่มีกำเนิดแถบทะเลทรายในตะวันออกกลางที่มีอากาศร้อนจัดและที่ราบในเอเชียใต้ตอนเหนือ ม้าในกลุ่มนี้มีรูปร่างใหญ่โต ปราดเปรียวซึ่งได้นำมาเป็นม้าศึก

2. ม้าเลือดเย็นมีถิ่นกำเนิดแถบภูเขาสูงทางยุโรปตอนเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น รูปทรงขนาดใหญ่เช่นกัน ม้ากลุ่มนี้นำมาเป็นม้าศึกเช่นกัน

3. ม้ากลุ่มสุดท้ายเป็นม้ากลุ่มเลือดอุ่น ม้าพันธ์ผสมระหว่างม้าสองสายพันธ์แรก ปัจจุบันนำมาเป็นม้าแข่ง

ในยุคโบราณ ม้าที่นิยมนำมาเป็นม้าศึกเป็นม้าสายพันธ์อาหรับ เนื่องจากมีความตื่นตัวสูง เรียนรู้เร็วและว่องไว นอกจากนี้ยังมีรูปร่างที่ใหญ่โตเหมาะนำมาเป็นม้าศึก ส่วนม้าแกลบที่มีขนาดเล็กเป็นม้าศึกที่คาดไม่ถึงว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแผ่ขยายอาณาจักรของเจ็งกิสซ่านไปกว่าครึ่งค่อนโลก

ม้าแกลบสายพันธ์มองโกลมีรูปร่างเล็ก คล่องตัวสูงมาก ม้าพันธ์นี้มีจุดเด่นที่มีความทนทานต่อทุกสภาพภูมิอากาศ สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกสัมภาระได้มากและทนทานต่อการเดินทางไกลเป็นอย่างยิ่ง นักรบมองโกลนำม้าพันธ์นี้บรรทุกอาวุธยุโธปกรณ์และสัมภาระต่าง ๆ บุกพิชิตอาณาจักรต่าง ๆ ได้สำเร็จ

นอกจากการแสวงหาม้าสายพันธ์ดีสำหรับนำมาเป็นม้าศึกแล้ว การนำม้ามาบรรทุกสัมภาระและลากเกวียนหรือม้าเทียมเกวียนได้มีการพัฒนาเกวียนหรือรถบรรทุกขนาดกะทัดรัดสำหรับออกศึกสงครามซึ่งต้องมีความคล่องตัวสูงสามารถทำความเร็วได้สูงและมีความแข็งแกร่งทนทานซึ่งต่อมารถม้าศึกได้พัฒนาให้เทียมม้าได้หลายตัวเพื่อการบรรทุกสัมภาระได้มากและทำความเร็วสูงขึ้น

นอกจากนี้ยังออกแบบให้สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกสภาพเส้นทางจึงเป็นยุโธปกรณ์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อกองทัพในยุคโบราณซึ่งต่อมาได้พัฒนรถม้าศึกติดอาวุธชนิดต่าง ๆ ออกมาหลายรูปแบบ จนกระทั่งรถม้าศึกกลายเป็นกำลังหลักของกองทัพต่าง ๆ ในยุคโบราณ ตั้งแต่ยุคกรีก, เมโสโปเตเมีย, ฮิตไทต์, บาบิโลน, เปอร์เซีย, อินเดียและจีน

กลุ่มชนฮิตไทต์เป็นชนที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้รถม้าศึกเป็นอย่างมากและได้นำรถม้าศึกเข้าทำศึกกับอียิปต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์จนสามารถคว้าชัยชนะได้ในสมรภูมิคาเดซ รถม้าศึกของชาวฮิตไทต์ได้พัฒนาออกแบบล้อแบบซี่ล้อและมีขนาดใหญ่สามารถบรรทุกกำลังพลได้ 3 คนซึ่งก่อนหน้านี้รถม้าศึกบรรทุกกำลังพลได้เพียง 2 คน ๆ หนึ่งบังคับรถอีกคนใช้อาวุธ

รถม้าศึกได้มีการวิวัฒนาการด้วยการหุ้มเกราะให้กับม้าและตัวรถ นอกจากนี้ยังติดอาวุธไว้รอบ ๆ ตัวรถเพื่อมุ่งทำลายศัตรู แต่การพัฒนารถม้าศึกเป็นอันต้องยุติลงไปเนื่องจากความคล่องตัวและการหยุดรถรวมทั้งการทำความเร็วเทียบกับกองทหารม้าที่มีความคล่องตัวกว่า สามารถเคลื่อนพลไปได้ในทุกสภาพเส้นทาง นอกจากนี้การพัฒนาอาวุธยุคใหม่ ๆ ในการทำลายกองกำลังมีความทันสมัยมากขึ้น

การพัฒนารถม้าศึกก้าวไม่ทันต่อการพัฒนาอุปกรณ์อื่น ๆ จากสภาพของรถม้าศึกเองที่มีล้อขนาดใหญ่ การบังคับเลี้ยวเป็นไปได้ยาก ระบบอัตราทดเกียร์แม้ว่าจะได้มีการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นแต่ยังไม่แพร่หลาย ตัวรถเองก็มีน้ำหนักมากเนื่องจากวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาประดิษฐ์ยังเป็นแบบพื้นฐานไม่ได้พัฒนาในเรื่องของการลดน้ำหนักโดยรถม้าศึกยุคแรกเป็นรถแบบ 4 ล้อหรือเกวียนนั่นเอง

รถม้าศึกได้พัฒนามาเป็นแบบ 2 ล้อเพื่อความคล่องตัวสูงขึ้นประดิษฐ์โดยชาวสุเมเรี่ยน ต่อมาการวิวัฒนาการรถม้าศึกโดยล้อออกแบบเป็นซี่ล้อแตกต่างจากยุคแรกที่ล้อทำจากไม้ตันซึ่งได้พัฒนาจากซี่ล้อจำนวน 4 ซี่ไปเป็น 6-8-9-10 ซี่ล้อตามลำดับซึ่งได้มีการพัฒนาในแถบอะนาโตเลียเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสต์กาลซึ่งตั้งอยู่ในแถบเอเชียไมเนอร์หรือปัจจุบันแถบประเทศตุรกีนั่นเอง

การสูญสลายของรถม้าศึกเนื่องจากพ่ายแพ้ต่อกองทหารม้าในช่วงสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซียในช่วงปีค.ศ. 331 ก่อนคริสต์กาล โดยกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์ของกรีกจากแคว้นมาซิโดเนียซึ่งเป็นได้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคโบราณได้ใช้ยุทธวิธีในการล่อให้กองทัพรถม้าศึกผ่านไปแล้วรุกเข้าตีตลบหลัง

หลักฐานต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ของรถม้าศึกและรถลากมีอยู่หลายแห่งด้วยกันและหลายรูปแบบ ประกอบด้วยภาพวาดที่ฝาผนังในถ้ำของมนุษย์ยุคโบราณที่สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างรถลากมาตั้งแต่หลายพันปีก่อน, เหรียญโบราณและภาพเขียนบนแจกันโบราณที่ขุดค้นพบตามแหล่งอารยธรรมต่าง ๆ ของโลก, และภาพวาดทางประวัติศาสตร์ตามผนังโบสถ์วิหารของอาณาจักรยุคโบราณที่ล่มสลายไปแล้ว

 

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!