บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จัดงานเสวนา “The Future of Mobility” เผยวิสัยทัศน์สู่การขับเคลื่อนแห่งอนาคตผ่านมุมมองของผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์


บีเอ็มดับเบิลยู ต่อยอดวิสัยทัศน์นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ตอบรับกระแสโลกในการเข้าสู่ยุคของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จัดงานเสวนา “The Future of Mobility” ระดมนักคิดและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์มาร่วมพูดคุยถึงทิศทางของระบบคาร์แชร์ริ่ง (Car Sharing) ในประเทศไทย

ภายในงานเดียวกัน ยังมีผู้บริหารจากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แสดงวิสัยทัศน์แห่งผู้นำยนตรกรรมไฟฟ้าภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู i แนะนำนวัตกรรมแห่งอนาคตที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างรอบด้าน รวมถึงเผยพันธกิจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในการปูรากฐานอันแข็งแกร่งเพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนด้วยการเดินหน้าประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงในประเทศไทย และการมุ่งขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะในโครงการ ChargeNow อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ

มร. คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเสวนาที่รวมผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ มาร่วมกันแสวงหาแนวทางสู่อนาคตที่ลดมลภาวะจากการใช้พลังงานสะอาด สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในปี 2561 ที่ผ่านมา เราได้สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตปีต่อปีของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่ 20% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในเครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลกถึงสองปีซ้อน สะท้อนการเป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ยืนยันถึงความสำเร็จของเราก็คือ ยอดการส่งมอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ในประเทศไทยที่พุ่งสูงขึ้นถึง 122% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเร็วๆ นี้จะมีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดในเมืองไทยอย่างแน่นอน เพื่อต่อยอดความสำเร็จหลังจากการเปิดตัวของบีเอ็มดับเบิลยู 530e บีเอ็มดับเบิลยู 740Le บีเอ็มดับเบิลยู i8 Coupe และบีเอ็มดับเบิลยู i8 Roadster

ด้วยความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยที่จะเดินหน้าไปสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน เรายังคงขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่างต่อเนื่อง สานต่อจากการริเริ่มโครงการ ChargeNow เมื่อปี 2560 โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่สมาชิก ChargeNow ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นใดหรือยี่ห้อใดก็ตาม สามารถมาใช้บริการได้อย่างสะดวกสบาย ที่สถานี ChargeNow ทุกสาขา โดยปัจจุบันให้บริการทั้งหมด 121 หัวจ่าย ทั้งที่สถานี ChargeNow และที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู ใน 57 แห่งทั่วประเทศไทย”

“นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังขยายพันธกิจความยั่งยืนสู่อนาคตของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการประกาศเริ่มต้นการประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงในประเทศไทย ทั้งการประกอบโมดูลแบตเตอรี่และการประกอบตัวแบตเตอรี่แพ็ค ซึ่งจะเริ่มต้นสายการประกอบในปี 2562 นี้ โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง และแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป วางแผนที่จะลงทุนร่วมกันกว่า 400 ล้านบาท เพื่อสร้างหลักชัยใหม่แห่งนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และในภูมิภาคนี้” มร. คริสเตียน กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ โรงงานประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงแห่งใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป ผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 จะเริ่มต้นสายการประกอบอย่างเต็มกำลังภายในปีนี้ โดยแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ประกอบสมบูรณ์แล้ว จะถูกส่งไปยังโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูที่ระยอง เพื่อติดตั้งในรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เริ่มต้นเฟสแรก ภายในปี 2019 นี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการลงทุนเพิ่มเติมด้วยมูลค่ากว่า 700 ล้านบาท สำหรับการประกอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในอนาคต

นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจากบีเอ็มดับเบิลยู เพื่ออนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืน

ในงานเสวนาครั้งนี้ ดร. แอนเดรียส อัลมานน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าและ บีเอ็มดับเบิลยู i บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ บีเอ็มดับเบิลยู i ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในการสร้างสรรค์ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิดของความยั่งยืน โดยความนิยมในยานยนต์ไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก และยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต

ในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลก มากกว่า 140,000 คัน ในปี 2561 โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มียอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ ทั่วโลก รวมทั้งสิ้น 142,617 คัน นับเป็นอัตราการเติบโตถึง 38.4%

“การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าคือหนึ่งในเสาหลักของกลยุทธ์ NUMBER ONE > NEXT ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สู่ยานยนต์แห่งโลกอนาคต ACES (Autonomous ระบบขับขี่อัตโนมัติ, Connectedระบบเชื่อมต่อครบวงจร, Electrified ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และ Services/Shared การให้บริการ) หลังจากการเปิดตัวของบีเอ็มดับเบิลยู i3 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เป็นผู้ริเริ่มและก้าวสู่ความเป็นผู้นำในนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยภายในปี พ.ศ. 2564 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะมีรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 5 รุ่น คือ บีเอ็มดับเบิลยู i3 มินิ อิเล็คทริค บีเอ็มดับเบิลยู iX3 บีเอ็มดับเบิลยู i4 และบีเอ็มดับเบิลยู iNEXT และภายในปี พ.ศ. 2568 บีเอ็มดับเบิลยู i จะมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารวมทั้งหมด 25 รุ่น ประกอบด้วยรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ถึง 12 รุ่น ขณะที่แบรนด์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้ความดูแลของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จต่อไป” ดร. แอนเดรียส อัลมานน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าและบีเอ็มดับเบิลยู i บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป กล่าว

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป การสร้างสายการประกอบรถยนต์จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป จะใช้สายการประกอบร่วมกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและฉับไว ภายในสิ้นปี 2562 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป คาดว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 5 แสนคันบนท้องถนนทั่วโลก

“ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะสามารถกำหนดได้อย่างรวดเร็วว่า รถยนต์รุ่นใดที่จะประกอบด้วยเครื่องยนต์ไฟฟ้าล้วน ขับเคลื่อนด้วยปลั๊กอินไฮบริด หรือเลือกใช้เครื่องยนต์สันดาปที่มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานที่เหนือกว่า ความคล่องตัวนี้จะช่วยให้เราประกอบรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้ตรงตามความต้องการของตลาดยิ่งขึ้น และยังสร้างบรรทัดฐานของการนำไปสู่อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดที่กว้างยิ่งขึ้นอีกด้วย” ดร. แอนเดรียส กล่าวเสริม

บีเอ็มดับเบิลยู ต่อยอดวิสัยทัศน์นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ตอบรับกระแสโลกในการเข้าสู่ยุคของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จัดงานเสวนา “The Future of Mobility” ระดมนักคิดและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์มาร่วมพูดคุยถึงทิศทางของระบบคาร์แชร์ริ่ง (Car Sharing) ในประเทศไทย

ภายในงานเดียวกัน ยังมีผู้บริหารจากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แสดงวิสัยทัศน์แห่งผู้นำยนตรกรรมไฟฟ้าภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู i แนะนำนวัตกรรมแห่งอนาคตที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างรอบด้าน รวมถึงเผยพันธกิจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในการปูรากฐานอันแข็งแกร่งเพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนด้วยการเดินหน้าประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงในประเทศไทย และการมุ่งขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะในโครงการ ChargeNow อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ

มร. คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเสวนาที่รวมผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ มาร่วมกันแสวงหาแนวทางสู่อนาคตที่ลดมลภาวะจากการใช้พลังงานสะอาด สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในปี 2561 ที่ผ่านมา เราได้สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตปีต่อปีของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่ 20% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในเครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลกถึงสองปีซ้อน สะท้อนการเป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ยืนยันถึงความสำเร็จของเราก็คือ ยอดการส่งมอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ในประเทศไทยที่พุ่งสูงขึ้นถึง 122% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเร็วๆ นี้จะมีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดในเมืองไทยอย่างแน่นอน เพื่อต่อยอดความสำเร็จหลังจากการเปิดตัวของบีเอ็มดับเบิลยู 530e บีเอ็มดับเบิลยู 740Le บีเอ็มดับเบิลยู i8 Coupe และบีเอ็มดับเบิลยู i8 Roadster

ด้วยความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยที่จะเดินหน้าไปสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน เรายังคงขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่างต่อเนื่อง สานต่อจากการริเริ่มโครงการ ChargeNow เมื่อปี 2560 โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่สมาชิก ChargeNow ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นใดหรือยี่ห้อใดก็ตาม สามารถมาใช้บริการได้อย่างสะดวกสบาย ที่สถานี ChargeNow ทุกสาขา โดยปัจจุบันให้บริการทั้งหมด 121 หัวจ่าย ทั้งที่สถานี ChargeNow และที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู ใน 57 แห่งทั่วประเทศไทย”

“นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังขยายพันธกิจความยั่งยืนสู่อนาคตของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการประกาศเริ่มต้นการประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงในประเทศไทย ทั้งการประกอบโมดูลแบตเตอรี่และการประกอบตัวแบตเตอรี่แพ็ค ซึ่งจะเริ่มต้นสายการประกอบในปี 2562 นี้ โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง และแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป วางแผนที่จะลงทุนร่วมกันกว่า 400 ล้านบาท เพื่อสร้างหลักชัยใหม่แห่งนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และในภูมิภาคนี้” มร. คริสเตียน กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ โรงงานประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงแห่งใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป ผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 จะเริ่มต้นสายการประกอบอย่างเต็มกำลังภายในปีนี้ โดยแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ประกอบสมบูรณ์แล้ว จะถูกส่งไปยังโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูที่ระยอง เพื่อติดตั้งในรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เริ่มต้นเฟสแรก ภายในปี 2019 นี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการลงทุนเพิ่มเติมด้วยมูลค่ากว่า 700 ล้านบาท สำหรับการประกอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในอนาคต

นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจากบีเอ็มดับเบิลยู เพื่ออนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืน

ในงานเสวนาครั้งนี้ ดร. แอนเดรียส อัลมานน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าและ บีเอ็มดับเบิลยู i บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ บีเอ็มดับเบิลยู i ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในการสร้างสรรค์ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิดของความยั่งยืน โดยความนิยมในยานยนต์ไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก และยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต

ในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลก มากกว่า 140,000 คัน ในปี 2561 โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มียอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ ทั่วโลก รวมทั้งสิ้น 142,617 คัน นับเป็นอัตราการเติบโตถึง 38.4%

“การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าคือหนึ่งในเสาหลักของกลยุทธ์ NUMBER ONE > NEXT ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สู่ยานยนต์แห่งโลกอนาคต ACES (Autonomous ระบบขับขี่อัตโนมัติ, Connectedระบบเชื่อมต่อครบวงจร, Electrified ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และ Services/Shared การให้บริการ) หลังจากการเปิดตัวของบีเอ็มดับเบิลยู i3 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เป็นผู้ริเริ่มและก้าวสู่ความเป็นผู้นำในนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยภายในปี พ.ศ. 2564 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะมีรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 5 รุ่น คือ บีเอ็มดับเบิลยู i3 มินิ อิเล็คทริค บีเอ็มดับเบิลยู iX3 บีเอ็มดับเบิลยู i4 และบีเอ็มดับเบิลยู iNEXT และภายในปี พ.ศ. 2568 บีเอ็มดับเบิลยู i จะมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารวมทั้งหมด 25 รุ่น ประกอบด้วยรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ถึง 12 รุ่น ขณะที่แบรนด์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้ความดูแลของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จต่อไป” ดร. แอนเดรียส อัลมานน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าและบีเอ็มดับเบิลยู i บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป กล่าว

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป การสร้างสายการประกอบรถยนต์จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป จะใช้สายการประกอบร่วมกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและฉับไว ภายในสิ้นปี 2562 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป คาดว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 5 แสนคันบนท้องถนนทั่วโลก

“ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะสามารถกำหนดได้อย่างรวดเร็วว่า รถยนต์รุ่นใดที่จะประกอบด้วยเครื่องยนต์ไฟฟ้าล้วน ขับเคลื่อนด้วยปลั๊กอินไฮบริด หรือเลือกใช้เครื่องยนต์สันดาปที่มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานที่เหนือกว่า ความคล่องตัวนี้จะช่วยให้เราประกอบรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้ตรงตามความต้องการของตลาดยิ่งขึ้น และยังสร้างบรรทัดฐานของการนำไปสู่อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดที่กว้างยิ่งขึ้นอีกด้วย” ดร. แอนเดรียส กล่าวเสริม

etetewtgae

Top Rated

error: Content is protected !!